นักวิชาการผงะ! สถิติเด็กหลุดระบบการศึกษาปีละ 2.5 แสนราย
สสค.ชี้ส่วนใหญ่เด็กถูกครอบครัว-ร.ร.กดดัน ผอ.การศึกษาขอนแก่นแนะเปลี่ยนทัศนะคติพ่อแม่-ครูแสดงความรักผิดวิธี “แก๊งเด็กแว้น” เผยรวมกลุ่มเพราะต้องการสร้างกลไกป้องกันตัว “นายกเทศมนตรี”นำร่องจัดการศึกษาตามความต้องการเด็ก
นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) เปิดเผยว่า ได้เก็บข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่ามีเด็กที่ต้องออกจากระบบการศึกษาไปก่อนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ร่วม 3 ล้านราย หรือเฉลี่ยปีละกว่า 2.5 แสนราย ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาครอบครัวแล้วกระทบต่อการเรียน
นายอมรวิชช์ กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยเต็มไปด้วยเด็กกำพร้าเทียม คือมีผู้ปกครองแต่กลับไม่ได้พบหน้าหรืออยู่ด้วยกัน มีพ่อแม่ที่ไม่มีเวลาและเลือกที่จะใช้เงินเลี้ยงลูก ขณะที่ระบบการศึกษาไทยก็เป็นระบบอำนาจโดยร่างนโยบายจากส่วนกลางเพื่อสอนเด็ก ทั้งประเทศที่มีความแตกต่างกัน เมื่อทั้ง 2 ส่วนผนึกเข้าด้วยกันเป็นเนื้อเดียว ปัญหาเด็กและเยาวชนจึงเกิด
นายยุทธ วงษ์ศิริ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ปัญหาของเด็กนอกระบบเกิดจากครอบครัวและสถานศึกษาไม่สามารถให้ความอบอุ่นหรือความเข้าใจได้ อาทิ พ่อแม่ไม่มีเวลาหรือแสดงความรักแบบผิดวิธี เช่น หวังดีแต่ใช้คำพูดที่หยาบคายต่อเด็ก พูดจาด้วยถ้อยคำประชดประชันจนเด็กขาดความมั่นใจ เมื่อไปโรงเรียนก็ถูกครูดุด่า กดดันให้รู้สึกว่าเป็นตัวปัญหาของชั้นเรียน ท้ายที่สุดเด็กก็เกิดการต่อต้านและไม่อยากเข้าเรียน
นายยุทธ กล่าวว่า ขณะนี้พยายามอบรมให้ความรู้กับผู้ปกครองและครูเพื่อเปลี่ยนทัศนคติต่อเด็ก ให้เป็นเชิงบวก หากพูดจาดีและให้ความเข้าใจเด็กก็จะเปิดใจยอมรับ เมื่อยอมรับก็มีความศรัทธาต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะสั่งสอนอะไรเด็กกลุ่มนี้จะเชื่อฟังและปฏิบัติตาม
นายขนุน (นามสมมุติ) หนึ่งในเด็กนอกระบบ สมาชิกแก๊งมังกรดำ จ.ขอนแก่น ซึ่งมีวัยรุ่นนอกระบบเป็นสมาชิกไม่ต่ำกว่า 500 คน กล่าวว่า การรวมกลุ่มหรือแก๊งค์ของเด็กและวัยรุ่นเพราะไม่มีที่ไป หลังถูกครอบครัวและโรงเรียนบีบออกมา เมื่อรู้สึกว่าต้องอยู่คนเดียวในสังคมอย่างโดดเดี่ยวก็คิดสร้างกลไกเพื่อ ป้องกันตัวเองจากการถูกรังแก เช่น ต้องหาแก๊งหรือรุ่นพี่มาปกป้อง
นายขนุน กล่าวว่า สมาชิกทั้งหมดล้วนแต่ถูกครอบครัว โรงเรียน สังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี บางส่วนถูกเจ้าหน้าที่รัฐกระทำด้วยความรุนแรงจนเกิดเป็นความหวาดระแวง เมื่อเด็กและเยาวชนเหล่านี้ต้องการพิสูจน์ตัวเองหรือต้องการพื้นที่ยืนใน สังคมก็จะแสดงออกในรูปแบบต่างๆ อาทิ แข่งขันรถจักรยานยนต์ จี้ปล้น ยกพวกตีกัน
“เด็กก็คือเด็ก เขาไม่รู้หรอกว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร เขาคิดอยากเก่ง อยากเป็นที่ยอมรับเพราะไม่เคยถูกใครยอมรับ” นายขนุนกล่าว
นายสมพร ใช้บางยาง อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ทรงคุณวุฒิ สสค.กล่าวว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญของเยาวชนคือจำนวนเด็กนอกระบบที่หล่นหายไปจากการศึกษาไทย ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่มีหน่วยงานหรือเจ้าภาพเข้ามารับผิดขอบโดยตรง ดังนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในฐานะผู้รับรู้ปัญหาในชุมชนมากที่สุดและ ใกล้ชิดเด็กมากที่สุดควรเป็นผู้เริ่มต้น
นายสมพร กล่าวว่า การรวมศูนย์ไม่สามารถแก้ไขทุกปัญหาให้ทันกับสถานการณ์ได้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงมีบทบาทสำคัญของการจัดการในพื้นที่ได้เร็วที่สุด ซึ่งหากชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำงานร่วมกันได้จึงจะเกิดผลสำเร็จ
ด้าน นายพีระพล พัฒนาพีระเดช นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น กล่าวถึงรูปแบบการจัดการของท้องถิ่นในการแก้ปัญหาเด็กด้อยโอกาสว่า ต้องเข้าใจว่าปัญหาเด็กด้อยโอกาสหรือเด็กนอกระบบในแต่ละพื้นที่มีความแตต่าง ดังนั้นการออกแบบการศึกษาจำเป็นต้องยึดท้องถิ่นเป็นหลัก โดยปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ถือเป็นแม่ข่ายในการกระจายนโยบายการศึกษาและเป็นผู้กำหนดตัวชี้วัดของเด็ก แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นมาตรวัดผลสัมฤทธิ์จึงไม่ตอบสนองเด็กซึ่งมีความแตกต่างกันได้
นายพีระพล กล่าวว่า นอกจากนี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของครูต่อเด็กหลังห้องหรือเด็กที่มีความเสี่ยงว่าจะออกนอกระบบ เนื่องจากเมื่อ ศธ.เป็นผู้วางกรอบวัดคุณภาพของเด็ก-สถานศึกษา-มาตรฐานการสอน ทำให้ครูมุ่งให้ความสำคัญเฉพาะกลุ่มเด็กหน้าห้องหรือเด็กที่มีคะแนนเรียนดี เด็กหลังห้องจึงถูกทอดทิ้งและถูกบีบให้ออกนอกระบบ
“มาตรฐานเดียวกัน ผลสัมฤทธิ์เดียวกัน ไม่สามารถนำมาวัดเมล็ดพันธุ์ที่แตกต่างกันได้” นายพีระพลกล่าว และว่า เมืองขอนแก่นพยายามบริหารจัดการเด็กนอกระบบด้วยการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้นอก โรงเรียน โดยเฉพาะให้กลุ่มเด็กนอกระบบมีสิทธิสะท้อนความต้องการว่าอยากทำอะไรอยากเป็น อะไร จากนั้นจึงทำโครงการให้ตอบสนองเด็กเหล่านี้
นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น กล่าวอีกว่า การจัดระบบการศึกษาให้กับเด็กนอกระบบจำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กก่อน ว่า เขาเหล่านั้นไม่ชอบทำกรอบหรือไม่ชอบถูกบังคับ ดังนั้นเราต้องให้เด็กเป็นผู้กำหนดตัวของเขาเอง เขาชอบทำอะไรก็ควรได้รับการส่งเสริมที่ตรงจุด คือดึงให้เด็กเข้ามาทำแผนว่าเขาสนใจอะไร เมื่อเขาเสนอความต้องการมาแล้วเราจึงขยายผลเป็นแผนปฏิบัติการ .