‘เร็วทะลุเร็ว’ โดนใจวัยระห่ำ คอพันธุ์บู๊
ปรมาจารย์คิวบู๊เมืองไทย ‘พันนา ฤทธิไกร’ ฝากผลงานกำกับหนังเรื่องสุดท้ายในชีวิต ‘เร็วทะลุเร็ว’ ส่งตรงโดนใจขาระห่ำ คอซาดิสต์ เสมือนพาย้อนเวลากลับไปสู่อดีตเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ในสไตล์หนังพันนาที่เน้นฉายกลางแปลงมากกว่าโรงหนังชั้นหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยการต่อสู้ซื่อ ๆ ดูหักดิบ ชนิดที่อุปกรณ์ในครัวยังนำมาเข้าฉากได้
ถึงขนาด ‘ปรัชญา ปิ่นแก้ว’ เคยซูฮกให้กับความคิดอันอัศจรรย์เหล่านี้มาแล้ว และกลายเป็นบุคคลที่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด นำมาสู่ ‘องค์บาก’ และ ‘ต้มยำกุ้ง’ ที่โด่งดังฮิตติดระดับโลก ทว่า น่าเสียดายชีวิตของตำนานขั้นเทพกลับไม่ยืนยาวผลิตผลงานให้ตรึงตราได้อีกต่อไป
‘เร็วทะลุเร็ว’ นำเสนอเรื่องราวของสองพี่น้องกำพร้าพ่อแม่ ‘นที-ธาร’ ถูกเลี้ยงอุ้มชูมากับอาในอู่ซ่อมรถ ซึ่งพวกเขาถูกปิดบังสาเหตุการจากไปของบุพการีมาตลอด กระทั่งความอยากรู้ในชาติกำเนิดได้นำพาให้ต้องขโมยกุญแจไขประตูสู่ห้องแห่งความลับ จนนำมาสู่การออกตามหาตัวคนร้ายที่พรากชีวิตพ่อแม่ และเกิดเหตุการณ์วุ่นวายให้หันหลังกลับไม่ทัน
หากจะกล่าวไปแล้ว พล๊อตเรื่องมิได้โดดเด่นทันสมัยดังใจคิด เรียกได้ว่า พื้น ๆ ด้วยซ้ำไป กับเรื่องราวของสองพี่น้องที่ต้องการสืบหาตัวคนร้ายฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง แต่จุดเด่นที่ผมคิดว่า ‘พันนา’ ต้องการขายเป็นสินค้าระดับเกรดเอมากกว่า นั่นคือ ศิลปะการต่อสู้สไตล์บ้าน ๆ แต่มีกึ๋น พร้อมกับเทคนิคการถ่ายทำแบบยาว (Long Take) และใช้มุมกล้องออกแนวเกมต่อสู้ให้ลุ้นใจเต้น
ฉากสำคัญที่ชวนติดตาม คงหนีไม่พ้น ‘การต่อสู้บนรถไฟ’ ซึ่งวาดลวดลายชนิดร้องเสียว หัวใจวาบ กันเป็นแถว โดยเฉพาะการใช้ส้มตำและไก่ย่างเป็นอาวุธต่อสู้กับคนร้ายบนโบกี้ กระทั่งพุ่งชนเฮลิคอปเตอร์ระเบิดเสียงดังสนั่น เสมือนยก ‘ไอ้ผาง ร.ฟ.ท.’ มาไว้ให้รำลึกอีกสักเรื่อง
ทั้งนี้ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า หลายฉากที่ปรากฏสู่สายตาผู้ชมนั้นเต็มไปด้วยความหวาดเสียว จนต้องปิดตา หลบหน้ากันเลยทีเดียว ยกตัวอย่าง ฉากปาดคอ และแทงทะลุร่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งฉากจบ ยิงปืนเจาะปากฉีก ชนิดไร้เซ็นเซอร์ จึงไม่เหมาะสมที่ผู้ปกครองจะปล่อยให้เด็กเข้าชมเป็นอันขาด มิเช่นนั้นอาจเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมก็ได้
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้ว ‘เร็วทะลุเร็ว’ เต็มไปด้วยความสนุก ครบเครื่องเรื่องบันเทิง ทำให้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง ช่างรวดเร็วเสียเหลือเกินกับความสุขที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้
จึงนับว่าคุ้มค่ากับการมานั่งชม หากไม่คาดหวังอะไรมาก อย่างน้อยก็เพื่อรำลึกถึง ‘พันนา ฤทธิไกร’
ในฐานะผู้วางรากฐานคิวบู๊วงการหนังไทย...ก็เพียงพอเเล้ว .
ภาพประกอบ:สำนักข่าวทีนิวส์