หยุดแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
ผมได้อ่านข่าว เรื่อง สนช. ปูด อสส. ตั้งธงไม่ฟ้องโกงข้าว จี้ ป.ป.ช. จัดการเอง ยุ คสช. ใช้อำนาจพิเศษ เปลี่ยนตัว อสส. – รอง.อสส. เหตุไม่กล้าฟ้อง (มีผู้ส่งมาให้เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๒๓.๒๖ น.)
มีเนื้อหาได้ความว่านายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และกลุ่ม ๔๐ ส.ว. เปิดเผยว่า ทราบข่าววงในว่าการพิจารณาร่วมกันในคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช. กับอัยการที่จะมีขึ้นในวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ นั้น อัยการอาจจะมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีทุจริตจำนำข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยอ้างความไม่สมบูรณ์ของสำนวนในประเด็นเดิมๆ ที่เคยอ้างไว้ ดังนั้น ป.ป.ช. จึงควรฟ้องเองและ คสช. ควรใช้อำนาจพิเศษจัดการกับอัยการด้วยเพราะความเสียหายมหาศาลไม่ใช่แค่ ๗ แสนล้าน แต่ไม่ต่ำกว่า ๑ ล้านล้านบาท ยังไม่รวมถึงผลกระทบที่เกิดกับอุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ
ถ้าอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องก็ต้องตอบคำถามสังคมว่าความเสียหายมากขนาดนี้แต่ไม่ดำเนินคดีจะเป็นทนายแผ่นดินได้อย่างไร “เมื่ออัยการไม่ฟ้อง คสช. ก็ต้องพิจารณาว่านายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ใช้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนตัวก็ต้องเปลี่ยนอัยการสูงสุด และพิจารณาด้วยว่า นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด ที่ดูแลเรื่องนี้มีปัญหาหรือไม่ หากมีปัญหาก็ต้องเปลี่ยนตัวเพราะไม่มีความกล้าหาญในการทำหน้าที่ แต่ถ้า คสช. ไม่ทำอะไร แรงสนับสนุนก็จะหายไปเนื่องจากคนเห็นกับตาว่าความเสียหายเป็นอย่างไร นายกฯ พูดเองว่า ข้าวเสียหาย ๗๐ – ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เหลือข้าวดีแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่สามารถนำคนที่สร้างความเสียหาย มารับโทษได้ ย่อมกระทบต่อความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อ คสช. อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ต่อมาวันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลาประมาณ ๑๗ น. เศษ ได้มีข่าวที่ช่อง WORKPOINT 1 ว่า “ป.ป.ช. แจ้งว่าตามที่พนักงานอัยการแจ้งระบุข้อที่ไม่สมบูรณ์ในการให้สอบสวนเพิ่มเติมพยานบุคคลทั้งที่เป็นพยานใหม่และพยานที่สอบสวนแล้ว นั้น ป.ป.ช. อาจจะสอบสวนบางคน บางส่วนและบางประเด็นเท่านั้น”
จากการเปิดเผยของนายสมชาย แสวงการ ดังกล่าว จึงเห็นได้ว่าเป็นข่าวที่ไม่มีมูลความจริง เพราะ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน ตามที่อัยการสูงสุดแจ้งระบุข้อไม่สมบูรณ์ แต่ประการใด อีกทั้ง ป.ป.ช. ยังให้ข่าวว่าจะทำการสอบสวนพยานบางคนและบางประเด็นเท่านั้น
การทำงานของอัยการนั้นจะเห็นได้ว่าทำงานอย่างมืออาชีพ อัยการมิใช่คู่กรณีของทุกฝ่าย แต่อัยการมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา ไม่ว่าผู้ต้องหานั้นจะเป็นผู้ใด และอัยการจะไม่พิจารณาคดีตามกระแสของสังคม เพราะกระแสสังคมย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามความพึงพอใจ ไม่มีหลักในการพิจารณา
แต่อัยการจะพิจารณาคดีตามพยานหลักฐานในสำนวน การสอบสวน ว่า มีพยานหลักฐานอันเป็นความผิดตามหลักกฎหมายที่กล่าวหาหรือไม่เท่านั้น และมีหน้าที่นำพยานเข้าสืบในศาลให้เห็นว่า จำเลยนั้นกระทำผิดตามที่อัยการสั่งฟ้อง และหากลองย้อนดูในอดีต จะเห็นว่าอัยการได้มีการสั่งฟ้องและไม่ฟ้องคดีที่นักการเมืองถูกกล่าวหาหลายเรื่อง มีคดีอยู่หลายคดีที่อัยการมีความเห็นที่ไม่ตรงกับความเห็นของ ป.ป.ช. และ ป.ป.ช. ได้จ้างทนายความฟ้องคดีเอง ซึ่งผลสุดท้ายศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาตรงกับความเห็นของอัยการ อันเป็นการยืนยันว่าการทำงานของอัยการอยู่บนหลักฐานของความยุติธรรมมิได้เอาตัวเข้าเป็นคู่ขัดแย้งแต่ประการใด แต่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลางตลอดมา
อนึ่ง การที่ นายสมชาย แสวงการ ให้ข่าวให้ คสช. ใช้อำนาจพิเศษเปลี่ยนตัวอัยการสูงสุด และ รองอัยการสูงสุด นั้น ถือได้ว่าเป็นการข่มขู่และถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในทางอาญาซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายว่าจะไม่ให้มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทั้งนายสมชาย แสวงการ เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่มีเกียรติและสังคมให้ความเชื่อถือ จึงควรวางตัวให้เหมาะสมไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรม
การกระทำของนายสมชาย แสวงการ ดังกล่าวจึงสมควรที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จะต้องพิจารณาการกระทำของนายสมชาย แสวงการ ว่าเหมาะสมหรือไม่
ขอให้กำลังใจแก่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด และคณะทำงานในเรื่องนี้ให้ยึดมั่นต่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โดยมิต้องเกรงกลัวต่อคำข่มขู่ของนายสมชาย แสวงการ แต่อย่างใด ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันแก่ประชาชนว่าอัยการเป็นกลาง มิได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด