“พร้อมพงศ์”จี้ ป.ป.ช.ฟ้องคดี ปรส. ก่อนหมดอายุ-ทิ้งไว้ปชช.แบกหนี้50ปี
“พร้อมพงศ์-เรืองไกร” เข้ายื่นหนังสือ ป.ป.ช. เร่งรัดฟ้องคดี ปรส. หลังจ่อหมดอายุความ 30 พ.ย.นี้ เย้ยเป็นคดีล้มบนฟูก มี “ไอ้โม่ง” อยู่เบื้องหลัง เงินไม่ถึงมือประชาชน แบกรับหนี้ 50 ปี ไม่เหมือนจำนำข้าว
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ที่สำนักงานคณะกรรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้เร่งรัดฟ้องคดีการขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่จะหมดอายุความในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2557 นี้
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า คดีนี้ดำเนินการมากว่า 10 ปี ป.ป.ช. ชี้แจงว่ายังไม่หมดอายุความ เหลืออีก 20 วัน ซึ่งคือสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยคดีนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย 2 มีผู้เกี่ยวข้องทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก โดยเราก็เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ ทำไม ป.ป.ช. ไม่กล่าวถึงในรายละเอียด และรายงานให้ประชาชนทราบเลย เพราะถ้าหมดอายุความแล้ว จะไม่สามารถเอาผิดกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเสียหายดังกล่าวได้ ซึ่งก็น่าเสียดาย
“คดีนี้เป็นคดีล้มบนฟูก เงินไม่ถึงประชาชน มีไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง แตกต่างกับคดีโครงการรับจำนำข้าว และคดีการโยกย้ายนายถวิลเปลี่ยนศรี ที่ไม่มีคนร้องแต่ ป.ป.ช. เร่งรัดคดี แตกต่างกับคดี ปรส. ซึ่งโครงการจำนำข้าวประชาชนได้เงิน รัฐบาลได้ข้าว รวมถึงในคดีโรงพักเหลือแต่เสาแต่ตอ ตอนนี้ คสช. อนุมัติงบ 3 พันล้าน รวมของเดิมเป็น 8 พันล้าน วันนี้คดีถึงไหน” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า เทียบการดำเนินงานของ ป.ป.ช. ที่ผ่านมา อยากถามว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐบาล สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าคดี ปรส. หลุดไป จะต้องพิจารณาปฏิรูป ป.ป.ช. หรือไม่
ขณะที่นายเรืองไกร กล่าวว่า ป.ป.ช. ระบุว่าชี้มูลผู้ถูกกล่าวหาหมดแล้ว โดยขณะนี้อยู่ในชั้นของอัยการสูงสุด (อสส.) ซึ่ง ป.ป.ช. ควรใช้อำนาจหน้าที่ฟ้องคดีเอง เพื่อให้อายุความสะดุดหยุดลงก่อน เพราะความเสียหายรวมดอกเบี้ยประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ประชาชนแบกรับเป็นเวลา 50 ปี ก็ใช้ไม่หมด และกองทุนฟื้นฟูภาระหนี้กระทรวงการคลัง ก็โยนกันไปมาไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนแก้ไข จึงจำเป็นที่ ป.ป.ช. จะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้อายุความสะดุดหยุดลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ยื่นหนังสือนายเรืองไกรได้สอบถามเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ว่า ขณะนี้ความคืบหน้าคดีไปถึงไหนแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ชี้แจงว่า ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดทุกคดีที่เกี่ยวข้องในคดี ปรส. หมดแล้ว และส่งให้ อสส. ดำเนินการ นายเรืองไกร จึงถามต่อว่า ที่ยังไม่ฟ้องเพราะยังมีข้อไม่สมบูรณ์อยู่ใช่หรือไม่ เจ้าหน้าที่ระบุว่า ยังมีข้อไม่สมบูรณ์อยู่
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 5:4 ชี้มูลความผิดทางวินัยและอาญา นายมนตรี เจนวิทย์การ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปรส. เพียงคนเดียว ฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งและแบบแผนของ ปรส. และไม่ปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยซื่อสัตย์สุจริต อาศัยอำนาจหน้าที่ของตนไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม หาประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น และตามข้อบังคับของ ปรส. ว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ.2540 หมวด 4 ข้อ 17 และ 23 และฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งหรือผู้ใด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
จากกรณีนายมนตรี มีหนังสือ ปรส. ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 ขยายกำหนดระเวลาให้บริษัท เงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ผู้ชนะการประมูลแจ้งรายชื่อให้ผู้อื่น ลงนามในสัญญาขายมาตรฐานแทน โดยไม่มีการนำเสนอต่อคณะกรรมการ ปรส. พิจารณา และไม่เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการ ปรส. เรื่อง หลักเกณฑ์เงื่อนไขและวิธีการขายสินทรัพย์หลักของสถาบันการเงินที่ไม่อาจแก้ไขหรือฟื้นฟูฐานะหรือการดำเนินการได้ จำนวน 56 บริษัท ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2541
รวมทั้งยังยินยอมให้กองทุนเอเชียรี่คอฟเวอรี่ 3 เป็นผู้รับโอนสิทธิจากบริษัท เงินทุนเกียรตินาคินฯ โดยให้กองทุนรวมเอเชียรีคอฟเวอรี่ 3 ลงนามในสัญญาขายสินทรัพย์กลุ่มสินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่นตามสัญญาขาย สำหรับการจำหน่ายเลขที่ FRA07 และกลุ่มสินทรัพย์ COS-03 และ COS-09 แทนบริษัท เงินทุนเกียรตินาคินฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ทั้งที่ทราบว่า บริษัท เงินทุนเกียรตินาคินฯ แจ้งรายชื่อกองทุนรวมเอเชียรี่คอฟเวอรี่ 3 เป็นผู้ทำสัญญาแทนเกินกำหนด 5 วันทำการ นับจากวันประมูล
และทราบว่าในวันแจ้งรายชื่อผู้ลงนามในสัญญาขายมาตรฐานแทน ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 บริษัท เงินทุนเกียรตินาคิน ไม่ได้ยื่นสำเนาหนังสือรับรอง การจัดตั้งกองทุน และจดหมายอนุมติการจัดตั้งกองทุนจาก ก.ล.ต. เป็นหลักฐานประกอบด้วย ก็เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เกียรตินาคิน หลุดพ้นภาระทางภาษี โดย ป.ป.ช. ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้ อสส. ดำเนินการต่อไปแล้ว