ฟังฝ่ายมั่นคงแจงตั้งกรมทหารพรานใหม่-ส่งปืนให้ อส. ย้ำเป้าหมายดูแลประชาชน
หลังเกิดเหตุรุนแรงที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อเนื่องตั้งแต่ปลายสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ต.ค.ต่อเนื่องถึงต้นเดือน พ.ย.57 ซึ่งมีทั้งเหตุลอบวางระเบิดหลายจุดในเขต อ.เมืองปัตตานี และเหตุกราดยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายครั้ง ทำให้มีผู้สูญเสียจำนวนไม่น้อยนั้น
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ฝ่ายความมั่นคงต้องเร่งปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) เมื่อวันจันทร์ที่ 3 พ.ย.และได้จัดให้มีการประชุมด่วนทางไกลระบบวีทีซี กับ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เพื่อสั่งกำชับเพิ่มเติมรวม 6 มาตรการ ได้แก่
1.ให้เร่งดูแลผู้ได้รับผลกระทบและติดตามสืบสวนหาคนผิดโดยอาศัยเครื่องมือตามช่องทางที่มีอยู่ 2.ให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันเหตุให้มากขึ้น โดยเน้นให้ทุกหน่วยงานปรับใช้มาตรการเชิงรุกให้มากขึ้นในช่วงเวลากลางคืน ด้วยระบบจุดตรวจ ทั้งเขตในเมืองและพื้นที่นอกเขตเมือง 3.ปรับเพิ่มประสิทธิภาพงานข่าว โดยใช้การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนให้มากยิ่งขึ้น
4.ให้เจ้าหน้าที่ปรับลักษณะการทำงานให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่มักเกิดเหตุ โดยเน้นการปฏิบัติในช่วงกลางคืนให้มากขึ้น 5.การปฏิบัติงานของจุดตรวจเฉพาะกิจ หรือหน่วยย่อยขนาดเล็กต่างๆ ให้มีเครื่องมือ อุปกรณ์ที่เพียงพอ มีรูปแบบในการแสดงตนชัดเจน เป็นไปตามหลักปฏิบัติในทางยุทธวิธี และ 6.งานมวลชน ให้ดำรงความต่อเนื่องในการสร้างความเข้าใจและความรู้สึกที่ดีๆ ต่อกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน พร้อมเน้นให้ผู้เกี่ยวข้องให้ความสำคัญการพูดคุยสันติสุขในระดับพื้นที่ด้วย
อนุมัติตั้งกรมทหารพรานนาวิกฯ-ส่งปืน2.7พันกระบอกให้ อส.
วันเดียวกัน มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยภายหลังการประชุม พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบการดำเนินงาน 3 เรื่อง คือ 1.แผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ 7 กลุ่มงาน 55 หน่วยงาน 121 แผนงาน ปีงบประมาณ 2558 ซึ่งประมาณรายจ่ายไตรมาสแรก จำนวน 7,786 ล้านบาท ตามที่แต่ละกลุ่มงานได้รายงานแผนงานให้ที่ประชุมรับทราบ
2.เห็นชอบหลักการจัดตั้งกรมทหารพรานนาวิกโยธิน กองทัพเรือ 1 กรม 1,622 อัตรา กำลังพล 16 กองร้อยทหารพราน 1 หมวดทหารพรานนาวิกโยธินหญิง มีระยะเวลาจัดตั้ง 2 ปี โดยใช้งบประมาณดำเนินการกว่า 1,700 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อลดการใช้กำลังรบหลัก และ 3.เห็นชอบการจัดทำงบประมาณ 2559 แบบบูรณาการ โดยทั้งหมดจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบการสนับสนุนอาวุธประจำกาย ปืนเล็กยาวแบบ 11 หรือ เอชเค 33 จำนวน 2,700 กระบอก โดยกองทัพบกให้กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อแจกให้กับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ใช้เป้นอาวุะประจำกายต่อไป
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมรับทราบการแก้ไขปัญหาขาดแคลนกำลังพลของตำรวจ จำนวน 2,000 อัตรา โดยแบ่งเป็นรับสมัครจากผู้ที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ และจากพื้นที่อื่นทั่วประเทศ อย่างละ 1,000 อัตรา ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.2558 และต้องมีการจัดฝึกอบรมแบบพิเศษก่อนปฏิบัติหน้าที่
ต้นตอจดหมาย"คอรีเยาะ"ถึงนายกฯประยุทธ์
การออกมาเปิดเผยผลประชุม คปต.ดังกล่าว ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การตั้งหน่วยทหารใหม่ โดยใช้งบประมาณถึง 1,700 ล้านบาท และการติดอาวุธให้กับกองกำลังในพื้นที่ ทั้งๆ ที่ประชาชนในพื้นที่กำลังหวาดผวากับสถานการณ์และอยากให้รัฐมีมาตรการระยะเฉพาะหน้าเพื่อเรียกความเชื่อมั่นมากกว่า ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ในพื้นที่อย่างกว้างขวาง
กระทั่ง น.ส.คอรีเยาะ หะหลี แกนนำกลุ่มสตรีบ้านส้ม ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เขียนจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คัดด้านการดำเนินนโยบายดังกล่าว โดยส่งผ่านสื่อมวลชนและ "ทีมข่าวอิศรา" จนกลายเป็นข่าวครึกโครม เพราะตรงใจคนในพื้นที่จำนวนมาก
กอ.รมน.แจงกองทัพบกให้ยืมแทนจัดซื้อ
ต่อมาฝ่ายความมั่นคงจึงต้องออกมาแถลงชี้แจงประเด็นนี้อีกครั้ง โดย พ.อ.บรรพต กล่าวว่า การจัดซื้ออาวุธเพื่อเป็นอาวุธประจำกายให้กับสมาชิก อส.ที่จัดตั้งใหม่ จำนวน 2,700 กระบอกนั้น เป็นโครงการที่กระทรวงมหาดไทยเสนอในที่ประชุม คปต. ครั้งที่ 1/2557 เมื่อ 30 มิ.ย.57 เป็นโครงการเร่งด่วนต่อการปฏิบัติภารกิจของกระทรวงมหาดไทยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และทางมหาดไทยได้เสนอโครงการต่อหัวหน้า คสช.ผ่าน กอ.รมน. ซึ่งหัวหน้า คสช.ได้อนุมัติในหลักการให้มหาดไทยโอนให้กองทัพบกเป็นหน่วยดำเนินการจัดหาปืน และพิจารณาปรับโอนอาวุธที่ใช้ประจำการให้มหาดไทย พร้อมให้เสนอเรื่องไปยังสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณา
พ.อ.บรรพต กล่าวอีกว่า กองทัพบกได้อนุมัติหลักการให้กรมการปกครอง (ปค.) เบิกยืมปืนเล็กยาวแบบ 11 (ปลย.11) หรือที่ใช้ชื่อว่า เอชเค-33 จำนวน 2,700 กระบอก เพื่อใช้เป็นอาวุธประจำกายในการปฏิบัติงานของสมาชิก อส.ทดแทนการจัดซื้อใหม่ โดยเมื่อวันที่ 8 ก.ย.57 กรมสรรพาวุธทหารบกได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับกรมการปกครอง และได้ส่งมอบให้กับหน่วยในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา
ยันใช้สำหรับงาน รปภ.-มีระเบียบเข้มการใช้อาวุธ
"ตามพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ.2497 กำหนดให้จัดตั้งสมาชิก อส.ในทุกจังหวัด อำเภอทั่วประเทศ สำหรับอาวุธปืนที่สนับสนุนให้แก่สมาชิก อส.ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ส่วนภูมิภาคระดับจังหวัดและอำเภอที่ต้องมีไว้ใช้ปฏิบัติภารกิจการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน ทั้งนี้มีระเบียบการใช้อาวุธประจำกายที่เคร่งครัด สามารถควบคุมตรวจสอบได้ สมาชิก อส.ถือว่าเป็นกำลังกึ่งทหารของฝ่ายปกครอง มีการควบคุมบังคับบัญชาและรักษาระเบียบวินัยเช่นเดียวกับทหาร ตำรวจ ซึ่งกำลังพลทุกนายจะได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการใช้อาวุธประจำกายเป็นอย่างดี" โฆษก กอ.รมน.กล่าว
แหล่งข่าวระดับสูงจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ชี้แจงเรื่องนี้ว่า ทั้งเรื่องการจัดตั้งกรมทหารพราน และการส่งมอบอาวุธปืนประจำกายให้ อส. ล้วนเป็นภารกิจที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว ยืนยันว่าการมีกองกำลังในพื้นที่เพื่อดูแลประชาชน ไม่ใช่ทำร้ายประชาชน
ความอึดอัดใจของเจ้าหน้าที่
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีต ผบ.ทบ. กล่าวถึงสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงนี้ว่า จากข้อมูลสถานการณ์ยังไม่รุนแรง แต่ก็มีความพยายามหาช่องโหว่ของรัฐ หรือพยายามตอบโต้ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่อ่อนแอ หรือสถานการณ์อำนวย เหตุการณ์ก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้พยายามดูแล ซึ่งต้องใช้มาตรการต่างๆ แต่สิ่งที่อยากแจ้งให้ทราบคือ เราแทบไม่ได้ใช้มาตรการใดๆ ที่กระทบต่อวิถีชีวิตของคนในพื้นที่เลย ส่วนตัวเคยคาดหวังไว้ว่าในเขตที่มีคนมากๆ เช่น ตลาด จะไม่ให้รถจอดใกล้ๆ เลย ต้องหาที่จอดไกลๆ แล้วเดินมา โดยต้องตรวจรถทุกคัน แต่เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย เพราะการตรวจรถจะทำให้รถติดยาวๆ ประชาชนไม่ชอบ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : การปฏิบัติหน้าที่ของ อส.ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (แฟ้มภาพอิศรา)