ศาลสั่งจำคุก-รอลงอาญา 37 ชาวบ้านแม่ฮ่องสอน คดีมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง
ศาลสั่งจำคุก-รอลงอาญา 37 ชาวบ้านแม่ฮ่องสอน คดีมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง ยูเอ็นสนใจส่งคนลงพื้นที่เก็บข้อมูลละเมิดสิทธิ์
วันที่ 29 ตุลาคม ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน อ่านคำพิพากษากรณีที่ชาวบ้านจำนวน 39 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงถูกฟ้องร้องในข้อหามีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง ทั้งนี้นายยงยุทธ สืบทายาท ทนายความในคดีเปิดเผยว่า ศาลได้ตัดสินจำคุมผู้ที่มีไม้หวงห้ามเกิน 2 ลูกบาศน์เมตรตั้งแต่ 1 ปีไปจนถึง 7 ปี จำนวน 24 ราย ที่เหลืออีก 13 รายรอลงอาญา และอีก 2 คนเสียชีวิตไปแล้ว
นายยงยุทธ กล่าวถึงคดีนี้ชาวบ้านทั้งหมดได้สารภาพตั้งแต่ต้นว่า มีไม้สักไว้ในครอบครองจริง ดังนั้นการต่อสู้คดีจึงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา โดยชาวบ้านเกือบทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีขบวนการลักลอบตัดไม้ในผืนป่าสาละวินแต่อย่างใด มีเพียง 2-3 คน ซึ่งตนไม่แน่ใจและไม่ได้ว่าความให้ อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือชาวบ้านเหล่านี้ได้พยายามชี้ให้ศาลเห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านและฐานะทางเศรษฐกิจเพื่อให้ศาลเมตตา โดยศาลได้ส่งพนักงานสืบเสาะเข้าไปสืบเสาะ เห็นว่าข้อมูลที่ได้รับคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับทีตนชี้แจงไป
“การจับกุมทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม ขณะนั้นเจ้าหน้าที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับชาวบ้าน และเป็นเหตุให้มีการบุกตรวจค้นและยึดไม้จากชาวบ้าน โดยเรื่องนี้ได้รับความสนใจจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เพราะเป็นการจับกุมแบบเหวี่ยงแหโดยไม่แยกแยะใดๆ แล้วให้ชาวบ้านไปแก้ตัวในชั้นศาล เป็นการใช้กฎหมายแบบไม่มีน้ำใจ ทั้งๆที่รู้ว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้มีไม้ไว้ขายหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า เพราะหากจับกุมในลักษณะนี้กันจริงๆ คงต้องจับประชาชนอีกมากมายในแม่ฮ่องสอน"
นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ ผู้ประสานงานเครือข่ายจัดการทรัพยากรชุมชนลุ่มน้ำสาละวิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า กรณีการจับกุมชาวบ้านทั้ง 39 คน เป็นการสะท้อนการทำงานของระบบราชการไทยที่มุ่งแต่จับกุมคนเล็กคนน้อย ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ได้มีเจ้าหน้าที่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ(ยูเอ็น)เดินทางมาเก็บข้อมูลจากชาวบ้าน อำเภอ ทหาร รวมถึงตนด้วย เพราะเห็นว่าเป็นประเด็นการละเมิดสิทธิ
นายพงษ์พิพัฒน์ กล่าวว่า บรรยากาศเมื่อตอนเช้าภายหลังจากทราบคำตัดสินของศาล บรรดาญาติพี่น้องและชาวบ้านที่ถูกตัดสินให้จำคุกต่างพากันร้องไห้ทั้งในและนอกห้องขัง ทำให้บรรยากาศน่าเศร้าใจมาก บางคนประสบปัญหาไม่มีหลักทรัพย์หรือเงินค้ำประกัน บางคนเป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อถูกตัดสินจำคุกก็ไม่รู้ว่าครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร
“ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแม่บ้านมีลูกเล็กๆอายุ 4 ขวบ เมื่อถูกตัดสินจำคุกก็เลยไม่รู้ว่าลูกจะอยู่อย่างไร ขณะนี้ทีมทนายกำลังช่วยกันหาหลักทรัพย์ประกันตัวออกมา”นายพงษ์พิพัฒน์ กล่าว และว่า จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้เตรียมตัวไปให้กำลังใจพี่น้องที่ขึ้นศาล แต่ปรากฏว่าได้มีข้าราชการฝ่ายปกครองโทรศัพท์มาข่มขู่ชาวบ้านไม่ให้เดินทางไปโดยอ้างว่าอาจเป็นการทำผิดกฎอัยการศึก
อนึ่ง การจับกุมชาวบ้านทั้ง 39 รายเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ภายหลังจากการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ซึ่งประกาศนโยบายจับกุมขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า
ทั้งนี้ในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมาได้มีการลักลอบตัดไม้สักจำนวนมากในผืนป่าสาละวิน เป็นข่าวคึกโครม แต่ปรากฏว่าทางการไม่สามารถจับกุมหรือดำเนินคดีตัวการใหญ่หรือพ่อค้าไม้ได้เลย ขณะเดียวกันมีข่าวออกมาเป็นระยะว่ามีข้าราชการระดับหัวหน้าปฎิบัติงาน เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบตัดไม้สาละวินในครั้งนี้ ทำให้การตรวจสอบถูกตัดตอนและไม่มีการตั้งคณะกรรมการระดับสูงขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงใดๆและไม่มีหน่วยงานที่ทำงานเชิงลึกทั้งดีเอสไอ หรือตำรวจกองปราบฯเข้ามารับผิดชอบสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ทั้งๆที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและดูแลพื้นที่ประกอบด้วย ทหารพราน ตำรวจ กรมป่าไม้ และกรมอุทยานฯ
ที่มาข่าว:www.facebook.com/paskorn.jumlongrach
ขอบคุณภาพจากเฟสบุค Chai Pongpipat
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง:
นพ.นิรันดร์ จี้คสช.หยุดใช้ยาแรง ปราบ จับกุมไล่ชาวบ้านออกจากป่า
ข้อเสนอเบื้องต้นของกสม.ต่อคำสั่งคสช.64/66 ผลกระทบต่อชุมชนที่อยู่อาศัย-ทำกินในพื้นที่ป่า
นักวิชาการชี้ พ่อค้า-ขรก. ตัวบ่อนทำลายป่าไม้ แนะรัฐฯ วางระบบป้องกัน