นพ.เกษม วัฒนชัย ชี้ปฏิรูปการศึกษาอย่าแยกความรู้ออกจากคุณธรรม
นายแพทย์เกษม วัฒนชัยชี้สังคมวันนี้แยกความรู้คุณธรรมออกจากกัน หวังคนในแวดวงการศึกษานำพระราชดำริเป็นแนวทางปฏิบัติ แนะสอนเด็กให้มีน้ำใจไม่ให้แข่งขัน ย้ำยกระดับการศึกษาต้องทำให้ได้100%ทั้งประเทศ
13 ตุลาคม 2557 มูลนิธิสยามกัมมาจลศูนย์จิตวิทยาการศึกษา มูลนิธิยุวสถิรคุณจัดงาน “กุญแจในการปฏิรูปการศึกษา The key of Education Reform” ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิล์ด โดยมีองคมนตรี ศาสตราจารย์นายแพทย์เกษม วัฒนชัย กล่าวเปิดงาน
ศ.นพ.เกษม กล่าวถึงการศึกษาคือสิ่งที่เราเป็นห่วงและกำลังพูดถึงโดยเฉพาะในเรื่องการปฏิรูป จึงมีการจัดตั้งมูลนิธิยุวสถิรคุณขึ้นมาโดยมุ่งหวังที่จะให้เด็กไทยมั่นคงในความดี รู้จักผิดชอบชั่วดี มีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าในทางที่ถูกที่ควร
ในปี 2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดตั้งกองทุนการศึกษาโดยมีพระราชประสงค์ให้โรงเรียนสร้างคนดีและขณะนี้ดำเนินมาเป็นปีที่ 3 แล้ว มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องพฤติกรรมของเด็กพบว่า เด็กมีพฤติกรรมดีขึ้น รวมถึงคะแนนโอเน็ตคะแนนดีขึ้นเกือบ100%
ศ.นพ.เกษม กล่าวถึงพระราชกระแสรับสั่งเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่า หัวใจของการจะปฏิรูปการศึกษามี 3 อย่าง 1.ให้ครูรักเด็กและเด็กรักครู 2.ให้ครูสอนเด็กให้มีน้ำใจต่อเพื่อน ไม่ให้แข่งขัน แต่ให้แข่งกับตัวเอง ให้เด็กที่เรียนเก่งกว่าช่วยสอนเพื่อนที่เรียนช้ากว่า และ 3. ให้ครูจัดกิจกรรมให้เด็กทำร่วมกันเพื่อให้เห็นคุณค่าของความสามัคคี
"คะแนนโอเน็ตทั่วประเทศที่จัดสอบกันมาหลายปีมีเด็กที่ได้คะแนน90-100 เพียง5% และเด็ก95% ได้คะแนนเพียง30-40 คะแนน ฉะนั้นการปฏิรูปวันนี้จะยกระดับเด็ก 5% หรือจะยกระดับเด็ก 95% ดังนั้นต้องไม่สอนให้เด็กแข่งกัน แต่ต้องทำให้เด็กเก่งมีน้ำใจและติวกันเองแบบเพื่อนช่วยเพื่อน
หลายครั้งที่เราเสียบ้านเมืองเพราะขาดความสามัคคี จึงอยากให้คนในแวดวงการศึกษานำพระราชดำริ 3 ข้อไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพราะความรู้และคุณธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน เสียดายที่วันนี้เราแยกสองอย่างนี้ออกจากกัน นี่ถึงเวลาที่จะต้องรักษาแผลต่างๆ และขอให้ทุกฝ่ายเสียสละเพื่อบ้านเมืองและยกระดับการศึกษาไทยไม่ใช่แค่ 5% แต่ต้องเป็น100%"
ขณะที่นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์จิตวิทยาการศึกษา มูลนิธิยุวสถิรคุณ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องการศึกษาไม่ใช่ปัญหาใหม่ เป็นปัญหาที่มีคนพูดถึงเป็นจำนวนมาก วันนี้อยากปฏิรูปแต่จะปฏิรูปจากอะไรให้เป็นอะไรได้ตั้งคำถามหรือไม่
"ปัญหาเรื่องการศึกษามีคนเป็นห่วงและมีผู้หวังดีเสนอคำแนะนำมากมาย แต่ที่ยังทำไม่ได้ในวันนี้เพราะไม่มีทิศทางที่จะไปอย่างชัดเจน ขณะนี้เราเรียกร้องให้มีการกระจายอำนาจซึ่งการกระจายอำนาจคือการกระจายงานแล้วอำนาจตามไปซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ใช่เฉพาะท้องถิ่นแต่การศึกษาเองเช่นเดียวกันที่ต้องมีการกระจายงาน"
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวด้วยว่า เด็กถูกนำไปทำกิจกรรมนอกหลักสูตรถึง 65 กิจกรรมต่อปี ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมลูกเสือ ค่ายยาเสพติด ซึ่งกิจกรรมนอกหลักสูตรส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนน้อยมาก ส่วนครูเองใช้เวลากว่า 30 ชั่วโมงอยู่นอกห้องเรียนและทำกิจกรรมไม่ได้เกี่ยวกับการเรียนการสอน เช่นนั่งทำประเมิน อบรม ทำให้ครูไม่มีเวลาให้เด็ก ฉะนั้น การแก้ปัญหาเรื่องระบบการศึกษาของไทยในวันนี้จำเป็นที่จะต้องเข้าใจปัญหาการศึกษาอย่างถ่องแท้และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนภายใต้ผู้นำที่เข้มแข็งและทุกภาคส่วนจะต้องให้ความร่วมมือ นอกจากการปฏิรูปโครงสร้างที่เน้นกระจายอำนาจและควบคุมคุณภาพการศึกษาแล้วการปฏิรูปจะต้องเน้นพัฒนาคุณภาพของครูและการสอนโดยให้ครูทำภารกิจหลักที่มีผลสัมฤทธิ์ต่อเด็กโดยตรงทั้งด้านการเรียนและความประพฤติ