กฤษฎีกาฟันธง“ครม.ประยุทธ์”ห้ามเป็นคู่สัญญารัฐ-ลูกจ้างเอกชน
กฤษฎีกาตีความ “ครม.ประยุทธ์” ต้องปฏิบัติตาม กม.ป.ป.ช.ม. 100 ห้ามเป็นคู่สัญญา-มีส่วนได้เสียในสัญญา-เป็นหุ้นส่วน-ถือหุ้นในบริษัทคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ – กม.จัดการหุ้นรมต. ม. 4 ถือหุ้นได้ไม่เกิน 5%
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การได้รับการยกเว้นภายใต้มาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ระบุว่า ด้วยรัฐธรรมนูญฯ ฉบับชั่วคราว มาตรา 41 บัญญัติให้กรณีที่มีบทบัญญัติของกฎหมายใด กำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งทาง มิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงขอหารือว่า ข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง ได้รับการยกเว้นในการปฏิบัติตามมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ภายใต้มาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ด้วยหรือไม่
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ได้พิจารณาข้อหารือของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยมีผู้แทนสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า มาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เป็นบทบัญญัติที่ประสงค์จะขจัดอุปสรรคในการที่บุคคลจะมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีผลว่าหากมีกฎหมายใดห้ามมิให้ผู้ใดมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ยกเว้นมิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับ และมีผลเป็นการยกเว้นให้บุคคลที่มีกฎหมายกำหนดห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้สามารถดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองได้ แต่เมื่อบุคคลดังกล่าวได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองแล้ว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)ฯ มิได้มีบทบัญญัติใดกำหนดให้บุคคลดังกล่าวได้รับยกเว้น การปฏิบัติตามกฎหมายอื่นใดอีก ดังนั้น บุคคลดังกล่าวจึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับข้าราชการการเมืองด้วย
เมื่อมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ เป็นบทบัญญัติที่ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ซึ่งรวมถึงข้าราชการการเมืองในตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรีฯ เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้รัฐมนตรีต้องดำเนินการบางประการเกี่ยวกับหุ้นส่วนและหุ้นที่ตนมีอยู่
“ดังนั้น ข้าราชการการเมืองซึ่งดำรงตำแหน่งตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดและรัฐมนตรีจึงต้องปฏิบัติตามกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว” คณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 100 ระบุว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการดังต่อไปนี้
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
(2) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
(3) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
(4) เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างในธุรกิจของเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น
เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว เป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ส่วน พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นส่วนของรัฐมนตรีฯ มาตรา 4 ระบุว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้
(1) ในห้างหุ้นส่วนจำกัด รัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้ไม่เกินร้อยละห้าของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(2) ในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด รัฐมนตรีเป็นผู้ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทนั้น