อัยการขอคืนอำนาจจาก"ประยุทธ์"ตั้งอสส.ต้องผ่าน ก.อ.- ใช้คำสั่งคสช.ไม่สง่างาม
"วิทยา ปัตตพงศ์" กรรมการ ก.อ. ทำหนังสือถึง"นายกฯ ประยุทธ์" ชี้แจงขั้นตอนกฎหมายแต่งตั้ง "อสส." ต้องผ่าน "ก.อ." ใช้คำสั่งคสช.ไม่ได้ ระบุชัดเพื่อความสง่างาม คืนหลักประกันในการปฏิบัติหน้าที่พนักงานอัยการทั้งปวงยึดหลักสุจริต เที่ยงธรรม อิสระปราศจากการแทรงแซง ตามจารีตประเพณีร้อยปี
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ในช่วงปลายเดือน ส.ค.57 ที่ผ่านมา นายวิทยา ปัตตพงศ์ กรรมการอัยการ (ก.อ.) ได้ทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแต่งตั้งนายตระกูล วินิจฉัยภาค รองอัยการสูงสุด ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นอัยการสูงสุด (อสส.) และให้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง พ้นจากตำแหน่งอสส. และมาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า น่าจะเป็นความคลาดเคลื่อนและขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย มีผลกระทบกระเทือนต่อขวัญกำลังใจและหลักประกันในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ อันเป็นผลให้การรักษากฎหมายตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการสั่นคลอน ซึ่งอาจทำให้ความสงบเรียบร้อยและความผาสุกของประชาชนที่เกิดขึ้นตามความมุ่งมั่นของคสช.มีความแปรรปวนไปได้
นายวิทยา ระบุในหนังสือว่า สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ และรับรองการใช้อำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการไว้อย่างชัดเจนว่า พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดี และการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม และให้องค์กรอัยการมีหน่วยธุรการที่เป็นอิสระในการบริหารงานบุคคลากร งบประมาณ และการดำเนินการอื่น โดยมีอัยการสูงสูงสุดเป็นผู้บังคับบัญชา ก็ด้วยเหตุผลสำคัญที่ต้องการให้องค์กรอัยการมีหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรม ทางอาญา รักษาผลประโยชน์ของรัฐ และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและหน้าที่อื่น ตามที่กฎหมายกำหนดไม่ควรอยู่ในอำนาจของฝ่ายบริหาร และเพื่อเป็นหลักประกันประการหนึ่งในการปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระ จึงกำหนดให้มีคณะกรรมการอัยการ ก.อ. เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งและการให้อัยการสูงสุดพ้นจากตำแหน่ง
นายวิทยาระบุต่อว่า การที่ คสช.มีคำสั่งให้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง พ้นจากตำแหน่งอัยการสูงสุด ทั้งที่ ยังมี ก.อ.ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามกฎหมาย และพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 ยังมีผลใช้บังคับสมบูรณ์ตามกฎหมาย จึงเป็นความคลาดเคลื่อนและขัดต่อบทบัญญัติกฎหมาย
ในขณะนี้ แม้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 47 กำหนดให้คำสั่ง คสช. ไม่ว่าจะกระทำก่อนหรือหลังวันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้บังคับให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และชอบด้วยรัฐธรรมและเป็นที่สุดก็ตาม แต่ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตำแหน่งปลัด กระทรวง อธิบดี ผู้พิพากษา และตุลาการ ผู้ดำรงตำแหน่งอัยการตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และข้าราชการฝ่ายอื่น ทั้งนี้ ตามกฎหมายบัญญัติและทรงให้พ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่กรณีที่พ้นตำแหน่งเพราะความตาย
ดังนั้น การแต่งตั้งข้าราชการให้พ้นจากตำแหน่งอัยการสูงสุด และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ควรต้องมีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนและวิธีการทีกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 โดยกระทำผ่านมติของคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เพื่อความชอบด้วยกฎหมาย เพื่อความสง่างามของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง และเพื่อรักษาองค์การอัยการให้สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ให้เป็นที่พึ่งของประชาชน ได้อย่างแท้จริง
"ดัวยเหตุผลดังที่ชี้แจงมาทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนมาเพื่อให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้โปรดพิจารณาทบทวนและมอบหมายให้คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ทำหน้าที่ตามกฎหมาย อันเป็นการคืนหลักประกันในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการทั้งปวงให้เป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรมด้วยความอิสระปราศจากการแทรงแซง ตามกฎหมายและตามจารีตประเพณีที่สืบต่อมายาวนานกว่าร้อยปี ให้แก่องค์กรอัยการและข้าราชการฝ่ายอัยการ" นายวิทยา ปัตตพงศ์ กรรมการอัยการ (ก.อ.) ระบุในหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี