ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาผช.เลขาฯ“บุญทรง”คดีระบายข้าว-ยันจิ๊กซอว์สำคัญ
ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา “วีระวุฒิ” อดีตผู้ช่วยเลขาฯ “บุญทรง” ปมทุจริตระบายข้าว G to G ยันคือผู้กุมความลับไว้ทั้งหมด และถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญ เชื่อมโยง “สยามอินดิก้า” สั่งกันบุคคลไว้เป็นพยานอีกมาก
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2557 นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะรองโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้ไต่สวนกรณีกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวก ในข้อหาทุจริตกรณีรับจำนำข้าว โดยได้ขยายการแจ้งข้อกล่าวหาแก่บุคคลและบริษัทค้าข้าวอีกเป็นจำนวนมากนั้น บัดนี้ การไต่สวนมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยมีพยานหลักฐานเชื่อมโยง สามารถแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก 1 ราย ได้แก่ พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตผู้ช่วยเลขานุการ รมว.พาณิชย์ คือนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมสำหรับบุคคลดังกล่าว พร้อมทั้งมีมติกันบุคคลที่ถูกกล่าวหาจำนวนหนึ่งซึ่งร่วมมือให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลและหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงเอาผิดแก่ตัวการสำคัญในคดีนี้ได้
นายประสาท กล่าวอีกว่า สืบเนื่องจากกรณีนี้ เราพยายามหาข้อมูลหลักฐาน ข้อมูลจำนวนมากที่พาดพิงภาคเอกชนหลายราย เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉะนั้นเราก็มีการเสนอให้มีการกันบุคคลไว้เป็นพยาน จากจำนวนบุคคลหลายรายที่เราได้ขยายผลไป ส่วนหนึ่งเราเห็นว่าบุคคลจำนวนหนึ่งนั้น ได้ให้ถ้อยคำที่เป็นประโยชน์ อันเป็นสาระสำคัญในการใช้เป็นพยานหลักฐานชี้มูลเจ้าหน้าที่รัฐรายอื่น
“กรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าควรกันไว้เป็นพยาน โดยไม่ดำเนินคดีก็ได้ คณะอนุกรรมการไต่สวนฯก็กันบุคคลไว้เป็นพยานจำนวนหนึ่ง ที่ประชุม ป.ป.ช. เห็นชอบ กันเป็นพยาน กันปลาตัวเล็ก เพื่อดำเนินการปลาตัวใหญ่ ขณะนี้นับว่ามีความก้าวหน้าไประดับหนึ่ง เราคิดว่าวิธีการกันบุคคลไว้เป็นพยาน จะกันไว้ทุกคดีที่สามารถดำเนินการได้ และนี่เป็นกฎหมายเดียวที่เปิดช่องให้ทำได้” นายประสาท กล่าว
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ครั้งนี้ถือว่าสำคัญมาก จากการไต่สวนของอนุกรรมการฯ ในคดีทุจริตจำนำข้าวที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องหลาย ๆ คน ปรากฏว่า สุดท้ายเราได้จิ๊กซอว์ตัวสำคัญซึ่งเชื่อมโยงในการทุจริตจำนำข้าว ก็คือการพาดพิงบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และผู้นี้ถือว่าเป็นคนกุมความลับไว้ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องจำนำข้าว
"เหตุที่ได้เรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเราได้ขยายผลถึงบริษัทที่ค้าข้าวเป็นจำนวนมากกว่า 100 บริษัท และบริษัทเหล่านี้เมื่อมาพบเราก็มีความมั่นใจว่าเราทำจริง เอาจริง จากการที่เราส่งสำนวนคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไป อสส. อีกเรื่องคือเราไม่หยุดเลยเรื่องกระบวนการไต่สวน ฉะนั้นเขามั่นใจว่าเราไม่ทอดทิ้งเขา เขาเลยให้ข้อมูลสำคัญที่เชื่อมโยงไปยังบุคคลสำคัญ กรรมการ ปปช ก็เห็นชอบแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม เพิ่งลงนามข้อกล่าวหาเพิ่มเติมไปเมื่อวาน และรีบรวบรวมสำนวนเพื่อที่จะดำเนินการสรุปสำนวนในเร็ววันนี้" นายวิชา กล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า ในการขายข้าวลงนามให้กับบริษัทรัฐวิสาหกิจที่กวางตุ้ง ไห่หนาน จีน ไม่ได้มีการขายข้าวส่งออกอย่างแท้จริง คือเมื่อได้มีการลงนามขายข้าวให้รัฐวิสาหกิจจีน ปรากฏว่าได้นัดหมายผู้ประกอบการค้าข้าวไปพบที่สำนักเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพูดคุยขอซื้อข้าวจากรัฐบาล กับพวกกลุ่มบริษัทค้าข้าว โดยผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรี ได้แจ้งกับผู้ประกอบการค้าข้าวว่า จะสนับสนุนการขายข้าว โดยให้จ่ายแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายกับกรมการค้าต่างประเทศ และให้แคชเชียร์เช็คมอบให้เลขาฯรมว.พาณิชย์
นายวิชา กล่าวด้วยว่า นายนิมล หรือนายโจ และลูกน้องนายโจ คือ พ.ต.ท.สราวุฒิ หรือที่เรียกกันว่า สารวัตรเหยิน ที่เคยเป็นผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ฉะนั้นข้าวที่ขายกว้างตุ้ง กับไห่หนาน ได้มาลงนามเซ็นสัญญาซื้อในราคาต่ำกว่าที่ขายในประเทศ หรือต่ำกว่าราคาที่ไทยเสนอ หรือต่ำกว่าราคาจำนำ ผู้ประกอบการค้าก็มีความจำเป็น เพราะถูกบีบบังคับอย่างนี้ ก็เลยต้องยินยอมเซ็นเช็คสั่งจ่าย หรือมอบให้นายโจ ซึ่งเชื่อมโยงกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เพราะนายโจ เป็นลูกน้องบริษัท สยามอินดิก้าฯ และสารวัตรเหยินนี้ด้วย และไปชำระค่าซื้อข้าวกับกวางตุ้ง และไห่หนาน
นายวิชา กล่าวว่า เมื่อกรมการค้าต่างประเทศชำระในนามกว้างตุ้ง และไห่หนาน อคส. และองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) เอาหลักฐานให้นายสมคิด และนายรัฐนิธ พอใจ รับมอบขนข้าว ใช้เป็นหลักฐานในการขนข้าวจากคลังสินค้ากลาง ดังนั้นข้าวที่รัฐบาลไทยขายให้กวางตุ้งนั้น
“ปรากฏว่าไม่มีการขนออกไปนอกราชอาณาจักรแต่อย่างใด จึงเป็นการสวมรอยเพื่อทำ G to G โดยแท้จริง ทั้งนี้ยืนยันได้อย่างแน่ชัด ดังนั้นเตรียมการเพื่อสรุปผลในเร็ววันนี้ เพราะหลักฐานค่อนข้างชัด แต่จะทยอยบุคคลที่จะฟ้องต่อไป” นายวิชา กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า พยานที่ถูกกันไว้มีจำนวนเท่าไหร่ นายวิชา กล่าวว่า มีเยอะ แต่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ อย่างไรก็ดีพยานที่กันไว้มีทั้งบุคคลและองค์กร ซึ่งพยานเหล่านี้ต้องทำคำมั่นสัญญากับ ป.ป.ช. ที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคดี และ ป.ป.ช. จะไม่ฟ้องพยานเหล่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ ป.ป.ช. ส่งงานวิจัย TDRI ให้แก่ อสส. ทำไมมีแต่หน้าปกเท่านั้น นายวิชา กล่าวว่า เราได้ประสานกับเขาแล้วว่าหากต้องการพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็ให้ติดต่อเข้ามาที่ ป.ป.ช. ได้เลย เมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งการส่งปกงานวิจัย TDRI ให้นั้น เพื่อเป็นการยืนยันว่า งานวิจัยดังกล่าวเป็นของจริง นอกจากนั้นผลวิจัยของ TDRI ก็มีอธิบายอยู่ในสำนวนอยู่แล้ว
หมายเหตุ : ภาพประกอบ นายวีระวุฒิ วัจนะพุกกะ จาก internet