เปิดตัวมหากาพย์โกงข้าว นพ.วรงค์ เน้นรบ.บิ๊กตู่ อ่านบทที่ 11 ทางรอดชาวนายั่งยืน
นพ.วรงค์ เปิดตัวหนังสือ ‘มหากาพย์โกงข้าว’ ตีแผ่ทุกขั้นตอนทุจริต ระบุอยากให้รัฐบาลใหม่อ่านเป็นคนแรก โดยเฉพาะบทที่ 11 ‘ฟ้าใหม่ของชาวนา’ แก้ปัญหายั่งยืน เริ่มวางขาย 5 ก.ย. 57 ‘อภิสิทธิ์’ เผยรัฐต้องจัดงบใช้หนี้จำนำข้าว ธ.ก.ส.ปีละ 7.2 หมื่นล้านบ. ยาวนาน 7 ปีจึงหมด สร้างการสูญเสียโอกาส
วันที่ 3 กันยายน 2557 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ จัดแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ ‘ชำแหละโกงจำนำข้าวทุกขั้นตอน มหากาพย์โกงข้าว’ โดยได้รับเกียรติจากศ.ระพี สาคริก ราษฎรอาวุโส เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ กรุงเทพฯ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า นพ.วรงค์ เป็นผู้ที่มีความตั้งใจที่จะตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวด้วยการเสาะหาข้อมูลเชิงลึก จนทำให้เกิดการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ถือเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่ดีมากสำหรับการจารึกประวัติศาสตร์การทุจริตในนโยบายที่เกิดขึ้นทุกวงจร ตั้งแต่การรับซื้อจนถึงขายข้าวออกจากสต๊อก ทั้งนี้ ผู้อ่านจะได้เข้าใจกระบวนการทั้งหมดมีขั้นตอนอย่างไรและเกิดความเสียหายมากขนาดไหน
หัวหน้า ปชป. ยังกล่าวถึงความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวว่า งบประมาณปี 2558 ที่เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้จัดสรรงบในโครงการดังกล่าว 7.2 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ปัจจุบันไม่มีกระบวนการรับจำนำข้าวแล้ว แต่เป็นการใช้หนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำให้เกิดการสูญเสียโอกาส
“จากที่ได้พูดคุยกับบุคลากรใน ธ.ก.ส. ซึ่งนำตัวเลขมาให้ดู โดยรัฐบาลต้องจัดสรรงบใช้หนี้จากโครงการรับจำนำข้าวปีละ 7.2 หมื่นล้านบาท นานถึง 5-7 ปี ซึ่งถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว และคาดหวังว่า อนาคตจะไม่มีการผลิตหนังสือลักษณะนี้ออกมาในประเทศอีก แต่อยากให้มีการจัดพิมพ์ซ้ำเรื่อย ๆ เพื่อนำมาเป็นคู่มือไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
ด้านนายศักดิ์ชัย กาย เจ้าของและบรรณาธิการนิตยสารลิปส์ กล่าวว่า ได้มีโอกาสรู้จักนพ.วรงค์ตอนชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ผ่านมากันหลังเวที ซึ่งทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเรื่องข้าวก็จะเป็นไฮไลท์ของวันเลยทีเดียว จนกระทั่งนางสาวอัญชลี ไพรีรัก ผู้จัดรายการข่าวได้พามาพบ พร้อมบอกว่าไม่มีใครพิมพ์หนังสือเรื่องโกงข้าวให้ได้ ซึ่งเมื่อผมได้อ่านหลายรอบก็รู้สึกว่า ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นหายนะครั้งสำคัญของชาติ และจะว่าไปถือเป็นหายนะการโกงที่เป็นแบบอย่างความชั่วร้ายที่ชาวโลกต้องรู้
“งบประมาณที่สูญเสียไปกว่า 5 แสนล้านบาทจะนำกองได้มากแค่ไหน และสามารถใช้งบนั้นไปเนรมิตสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยได้มากมายเพียงใด” เจ้าของนิตยสารลิปส์ ตั้งคำถาม และว่าอยากให้ชาวนามีโอกาสอ่าน หรือไม่ก็อยากให้มีคนใกล้ชิดกับชาวนาได้อ่านและเล่าเรื่องและข้อมูลที่ถูกต้องให้ชาวนาเหล่านั้นฟังว่าการโกงข้าวครั้งนี้เป็นหายนะกับชาติอย่างไร
ขณะที่นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พิษณุโลก ปชป. กล่าวว่า ไม่เคยมีความเชื่อโครงการรับจำนำข้าวที่ตั้งราคาสูงกว่าตลาด 50% จะเป็นไปได้ เพราะที่บ้านเคยเป็นโรงสีมาก่อน จึงรู้ว่าโครงการดังกล่าวมีการโกงกันตั้งแต่ในอดีต ซึ่งเมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (เงา) ก็ได้ลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลเชิงลึก คลุกคลีกับชาวนา เจ้าของโรงสี เซอร์เวเยอร์ รวมถึงผู้ส่งออก นำมาสู่การเสนอในสภาผู้แทนราษฎรว่ามีการทุจริตขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียน
“ สิ่งที่ตอกย้ำว่าเราเดินมาถูกทาง คือ ช่วงเกือบ 3 ปีก่อน รัฐบาลตอบคำถามไม่ได้เลย เราจึงเชื่อมั่นในเอกสารและหลักฐานที่ได้มา และท้ายที่สุด จึงต้องออกเป็นหนังสือ แต่นักเขียนคือผู้สื่อข่าวท่านหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์”
ส่วนใครที่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ อดีต ส.ส.พิษณุโลก ระบุว่า บุคคลกลุ่มแรก คือ คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะมีนโยบายการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันจริงจัง เพื่อจะได้เข้าใจระบบข้าวไทย โดยแนะนำให้อ่านบทที่ 11 'ฟ้าใหม่ของชาวนา' ที่จะเป็นทางออกในการช่วยเหลือชาวนาอย่างยั่งยืนต้องทำอย่างไร ซึ่งโดยหลักการแล้วให้รัฐบาลหนุนการตลาดในรูปวิสาหกิจชุมชนแก่ชาวนา เจาะตลาดในกลุ่มโรงพยาบาล เรือนจำ นักเรียนอาหารกลางวัน หรือค่ายทหาร เชื่อว่าจะเกิดความยั่งยืน
บุคคลต่อมา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เชื่อว่าโครงการรับจำนำข้าวจะชี้นำราคาตลาดโลกได้ แต่กลับไม่เป็นความจริง นำมาสู่การทุจริต และต่อมาเป็นทีมข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อวันใดที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกเพราะเหตุใด และสุดท้าย คือ ชาวนา
“หนังสือ ‘มหากาพย์ โกงจำนำข้าว’ จะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 5 กันยายน 2557 ที่ร้านหนังสือชั้นนำทุกสาขา โดยตีพิมพ์ครั้งแรก 5,000 เล่ม ราคาเล่มละ 310 บาท โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปเป็นทุนศึกษาวิจัยโครงการเปลี่ยนเด็กไทยให้สื่อสารภาษาอังกฤษได้” นพ.วรงค์ กล่าว .