สป.วอนรัฐบาลทบทวนนโยบายก้าวกระโดด 5 ปี 1.8 ล้านล้าน ทำเงินเฟ้อ 5%
ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วอนรัฐบาลเพื่อไทยชะลอปรับโครงสร้างแบบก้าวกระโดด-แทรกแซงตลาด เสนอนโยบายเร่งด่วน 19 ด้าน ทั้งเกษตร-เศรษฐกิจพอเพียง-อุตสฯ-พลังงาน-ภัยพิบัติ-ทบทวนค่าแรง 300
วันที่ 15 ส.ค. 54 นายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สป.) กล่าวว่านโยบายของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มราคาสินค้าเกษตร เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ และภาคครัวเรือน ทั้งนี้หากแปลงเป็นนโยบายรัฐบาลจะต้องใช้เม็ดเงินอัดฉีดในระยะเวลา 5 ปีกว่า 1.8 ล้านล้านบาท จึงเป็นนโยบายแบบก้าวกระโดด หลายนโยบายเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อทั้งโครงสร้างภาคการจ้างแรงงาน กลไกราคาสินค้าเกษตร และกลไกราคาแบบรุนแรง
ทั้งนี้ สป.มีข้อเสนอต่อการกำหนดนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล 19 ด้าน ประกอบด้วย 1.นโยบายการเพิ่มผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรมรายกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรม ต้องมีการเสริมสร้างทักษะและจัดหาเทคโนโลยี เครื่องจักรที่เหมาะสม ทั้งภาคอุตสาหกรรมรวมถึงภาคอุตสาหกรรมการเกษตร 2.นโยบายแรงงานต่างด้าว จัดเป็นวาระแห่งชาตินำแรงงานต่างด้าวนอกระบบเข้าสู่ระบบการผลิต มีการกำหนดพื้นที่และหรือลักษณะงานที่ให้ทำหรือไม่ให้ทำชัดเจน
3.นโยบายพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก รัฐบาลจึงต้องมีจุดยืนการเลือกและกำหนดนโยบายที่ชัดเจนต่ออนาคตพลังงานของชาติ เพื่อให้มีพลังงานใช้อย่างพอเพียงและยั่งยืน 4.นโยบายส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน กำหนดพื้นที่เป้าหมายเมืองชายแดนที่มีศักยภาพให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมชายแดน เพื่อให้อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพิงแรงงานเข้มข้นสามารถย้ายฐานการผลิตไปอยู่ เช่น อ.แม่สอด จ.ตาก, บ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี, อ.แม่สาย จ.เชียงราย
5.ขับเคลื่อนศักยภาพในการแข่งขันรายอุตสาหกรรม กำหนดประเภทอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการกำหนดเป็นยุทธศาสตร์สร้างอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน 6.นโยบายด้านโลจิสติกส์แห่งชาติ กำหนดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเพื่อให้การขับเคลื่อนโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพภายใต้ต้นทุนต่ำสอดคล้องกับการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและการเชื่อมโยง AEC และ GMS มีการปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการพาณิชย์นาวี และคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศให้มีการบูรณาการ รวมถึงส่งเสริมให้มีรถไฟฟ้าและรถไฟความเร็วสูงเป็นเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ
7.ส่งเสริมความเข้มแข็งและขีดความสามารถ SME ด้วยการส่งเสริมทักษะ เทคโนโลยี นวัตกรรม ทุน ส่งเสริม SME ไทยไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า จัดให้มีกองทุน SMEs FUND รวมทั้งการปรับโครงสร้าง สสว., BOI, SME Bank, ธนาคารออมสิน และกรมพัฒนาผีมือแรงงาน ให้บูรณาการเพื่อผลักดันศักยภาพ SMEs ไทย 8.ส่งเสริมการค้าชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคและประเทศที่สาม จัดตั้งกรมการค้าข้ามแดน สังกัดกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานส่งเสริมการส่งออกนำเข้าสินค้าที่มีการขนส่งทางถนน ทั้งค้าชายแดนและข้ามแดนไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
9.นโยบายพัฒนาภาคการเกษตร องค์กรเกษตร สหกรณ์การเกษตรให้เข้มแข็ง พัฒนาอาชีพเกษตรกรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้กับเกษตรกรอย่างทั่วถึง จัดการหนี้สินเกษตรกรโดยยึดหลักการรักษาที่ดินทำกินให้เกษตรกร ทำยุทธศาสตร์ภาคเกษตรรองรับวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น โดยภาคเกษตรจะเป็นภาคที่รองรับแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมและบริการ
10.ทบทวนระยะเวลาใช้นโยบายที่อาจมีผลกระทบต่อขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ โดยการผ่อนถ่ายต้องมีขั้นมีตอนรวมถึงการเยียวยาช่วยเหลือธุรกิจบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจขอให้รัฐบาลมีการทบทวนโดยเฉพาะการแทรกแซงกลไกราคาและต้นทุนการผลิต 11.จัดตั้งหน่วยงานป้องกันและเยียวยาภัยพิบัติธรรมชาติ โดยเจ้าภาพควรเป็นกระทรวงหรือองค์กรอิสระ มีแผนงานงบประมาณและการบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในการป้องกันแก้ไขและให้การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกมิติความเสียหาย ทั้งโลจิสติกส์ การผลิต เศรษฐกิจ สังคม
12.นโยบายการรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย สำรองเครื่องมือการเงินการคลังสำหรับใช้กระตุ้นและเยียวยาภาคเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นโยบายทบทวนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมาตรการทางภาษีการเงินที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน เตรียมมาตรการช่วยเหลือภาคการผลิต หามาตรการร่วมระดับภูมิภาค โดยการจัดทำเป็น Policy Collaborate, มีมาตรการรองรับการผันผวนของราคาน้ำมัน
13.ทบทวนนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท โดยมีขั้นบันไดในการปรับหรือให้เอกชนรับส่วนหนึ่งและรัฐบาลชดเชยในรูปแบบของค่าครองชีพ อาจจะโอนเงินผ่านนายจ้างหรือประกันสังคมให้ลูกจ้างโดยตรง และเงินค่าครองชีพนี้จะทยอยลดลงโดยให้เป็นภาระของภาคเอกชนภายใน 3 ปี หากรัฐบาลจะให้เอกชนรับทีเดียวจะทำให้อุตสาหกรรมที่พึ่งพิงแรงงานเข้มข้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง 14.นโยบายรองรับเงินเฟ้อ ซึ่งอาจเกิดจากการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลซึ่งใช้งบประมาณจำนวนมาก ส่งผลทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 5% กดดันทำให้ต้นทุนการผลิตมีปรับตัวสูงขึ้นและลดขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
15.ปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ประกอบด้วย ภาครัฐ เอกชน 16.ด้านการกีฬาและนันทนาการ จัดระบบบริหารจัดการกีฬาให้เป็นเอกภาพ ตั้งคณะกรรมการกีฬาแห่งชาติ ตั้งมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติและมีวิทยาเขตกระจายทั่วทุกภูมิภาค
17.การสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจภาคบริการและการท่องเที่ยว ตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs โดยตรง ฟื้นฟูและบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ มุ่งเน้นอัตลักษณ์พื้นถิ่นของแต่ละพื้นที่ 18.ด้านสังคมและการศึกษา คุณภาพชีวิต การปรองดอง คอร์รัปชัน ต้องใช้ธรรมาภิบาลเป็นเครื่องมือ ส่งเสริมบทบาทให้เกิดการทำงานที่ปราศจากคอร์รัปชัน 19.นโยบายด้านเศรษฐกิจพอเพียง กำหนดให้ประเทศไทยเป็นแผ่นดินของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังกล่าวว่า ขอให้นโยบายของรัฐบาลสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและสถานะของภาคธุรกิจ และความจำเป็นเร่งด่วน ส่วนนโยบายที่อาจมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในระยะยาว ควรจะมีการทบทวนหรือ ปรับเปลี่ยน และจัดทำเป็นแผนหรือ Road Map มีระยะเวลาที่ชัดเจนเพื่อให้ภาคการผลิตมีระยะเวลาผ่องถ่ายและปรับตัวซึ่งจะส่งผลต่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย .