ธิดา ถาวรเศรษฐ : ทำไมต้องทำความจริงให้ปรากฏในสังคมไทย ?
“…การทำความจริงให้ปรากฎในสังคมเป็นปฐมบทของการปรองดองที่แท้จริง ป้องกันการขยายตัวความขัดแย้งต่อไป และอาจหยุดความขัดแย้งได้ในเบื้องต้น โดยมีการไต่สวนค้นหาความจริงและกระบวนการที่น่าเชื่อถือและมีความเที่ยงธรรมแท้จริง ไม่ใช่ทำโดยกลุ่มบุคคลองค์กรที่เลือกข้างชัดเจนแล้วดังที่ได้เกิดขึ้นในสังคมไทย…”
หมายเหตุ "สำนักข่าวอิศรา" : เป็นบทความเรื่องการปรองดองที่ยั่งยืนและประสบผลสำเร็จ (ตอนที่ 2) ในทัศนะของนางธิดา ถาวรเศรษฐ ที่ปรึกษากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่โพสต์ลงผ่านเฟซบุ๊ก “อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ” เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2557
(อ่านประกอบ : “ธิดา”ชี้ปรองดองแท้จริงต้องยึดมั่นความจริง-ยุติธรรม-ประชาธิปไตย)
(อ่านตอนที่ 1 ประกอบ : http://on.fb.me/1nI9UTp)
----
ตอนที่ 2 ทำไมความจริงต้องปรากฏและรากเหง้าความขัดแย้งของสังคมไทยในทัศนะของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
1. จากตอนที่ 1 องค์ประกอบ 8 ข้อที่นำไปสู่การปรองดองของคนในประเทศอย่างแท้จริงและยั่งยืนนั้น ในข้อที่ 1 คือการทำให้ความจริงปรากฏในสังคม ต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ด้วยเหตุที่เกิดการแตกแยกร้าวฉานในสังคมไทยอันเนื่องมาจาก
1.1 การรับรู้ข้อมูลไม่รอบด้านเป็นเบื้องแรก ตามมาด้วย
1.2 ปัญหาจุดยืน ผลประโยชน์ที่ขัดกัน
1.3 ทัศนะที่มองโลก มองสังคมอย่างล้าหลังที่สามารถบิดเบือนข้อมูล หรือเลือกรับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของแต่ละฝ่าย
ทำให้ความจริงไม่ปรากฏในสังคม มีแต่ชุดความจริงตามความเชื่อของแต่ละฝ่ายที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทำความจริงทางภววิสัยให้ปรากฏแก่สังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อทำให้สังคมมีเอกภาพในการรับรู้ทางภววิสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นในประเทศนี้ และตระหนักถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตร่วมกัน ถ้าไม่หยุดยั้งการบิดเบือนความจริงหรือสร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากความเชื่อที่ไม่ใช่ความจริง
การทำความจริงให้ปรากฎในสังคมเป็นปฐมบทของการปรองดองที่แท้จริง ป้องกันการขยายตัวความขัดแย้งต่อไป และอาจหยุดความขัดแย้งได้ในเบื้องต้น โดยมีการไต่สวนค้นหาความจริงและกระบวนการที่น่าเชื่อถือและมีความเที่ยงธรรมแท้จริง ไม่ใช่ทำโดยกลุ่มบุคคลองค์กรที่เลือกข้างชัดเจนแล้วดังที่ได้เกิดขึ้นในสังคมไทย
ดังนั้นในอดีต คอป. โดยประธาน คอป. และประธานอนุกรรมการค้นหาความจริงซึ่งเน้นเรื่องการปรองดอง สอบไม่ผ่านในการทำความจริงให้ปรากฏ จึงเป็นองค์กรที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในที่สุด เพราะไม่พยายามค้นหาความจริงทางภววิสัย แต่เสนอความจริงทางอัตวิสัยของตนที่สวนทางกับผลการไต่สวนในศาลโดยสิ้นเชิง ดังนั้น องค์กรและบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ปรองดองนั้น ต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ ต้องเริ่มต้นจากตั้งใจทำความจริงให้ปรากฏ และที่สำคัญต้องไม่เลือกข้าง มิฉะนั้นก็ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จ
2. ว่าด้วยรากเหง้าของความขัดแย้ง ตามทัศนะของผู้เขียน นี่เป็นเรื่องสำคัญมากในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของประเทศไทย
กลุ่มต่าง ๆ ที่หวังดีต้องการแก้ปัญหาประเทศนี้ให้ลุล่วงมีหลายกลุ่ม หลายวิธี ปัญหาอยู่ที่มีความเห็นต่อรากเหง้าของความขัดแย้งต่างกัน จึงกำหนดมิตร ศัตรู ต่างกัน กำหนดเป้าหมายอนาคตการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ก็ต่างกันตามจุดยืน ผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่แตกต่างกัน เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่มตน ก็กำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ที่จะต่อสู้เอาชนะเพื่อบรรลุเป้าหมายของกลุ่มตนให้ได้
รากเหง้าความขัดแย้งในสังคมไทย (จะเน้นเฉพาะฝ่ายที่เป็นผู้กระทำและเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง)
กลุ่มที่หนึ่งมีฐานเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง เนื่องจากยึดกุมกลไกอำนาจรัฐไว้ได้ยาวนานและสร้างกลไกรัฐแบบใหม่ ๆ เพื่อควบคุมการเมืองไว้ในมือ แม้จะมีฐานมวลชนน้อยกว่าแต่คงอำนาจในการควบคุมประเทศได้ ประกอบด้วยบุคคลกลุ่มอนุรักษ์นิยม เป็นคนชั้นกลางบนขึ้นไปเป็นกำลังหลัก และมีมวลชนพื้นฐานประจำถิ่นฐานของพรรคอนุรักษ์นิยมจำนวนหนึ่งเป็นองค์ประกอบ พิจารณารากเหง้าความขัดแย้งของกลุ่มนี้มาจาก
ก. จุดยืนและผลประโยชน์ขัดแย้งกับพัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย จึงต้องการหยุดพัฒนาการประชาธิปไตยแบบสากล แต่นำเสนอประชาธิปไตยแบบไทย ๆ เพื่อยับยั้งอำนาจประชาชน
ข. ถือเอาปัญหาบุคคลสำคัญกว่าระบบและหลักการ ตัวอย่างรากเหง้าปัญหาที่ประธาน คอป. เสนอคือ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ตัดสินให้คุณทักษิณ ชินวัตร มีความผิดตั้งแต่ต้นในปี พ.ศ. 2554 เปิดโอกาสให้ได้ตั้งรัฐบาลบริหารประเทศเรื่อยมา วิธีคิดแบบนี้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวมวลชนของคนกลุ่มนี้ที่มุ่งโจมตีบุคคลเป็นหลัก ยกบุคคลเป็นระบอบ มาจนถึงผู้นำหญิงในรัฐบาลที่ผ่านมาเช่นกัน อันที่จริงการมุ่งโจมตีบุคคลใช้ได้กับผู้นำเผด็จการที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แม้กระนั้นการต่อต้านเผด็จการก็ต้องเน้นที่ระบอบเผด็จการภายใต้การนำโดยบุคคลคนเดียว และต้องจำแนกเรื่องกับบุคคลให้ชัดเจน ไม่สามารถพูดตีขลุมหยาบ ๆ ได้ การโจมตีบุคคลนั้นง่ายในการก่อกระแสเกลียดชัง แต่ก็อาจได้ผลกลับกันเพราะสังคมอาจมีปฏิกิริยาโต้กลับในเชิงสงสารดังเกิดขึ้นแล้วในประเทศนี้
ค. ความคิด เทพ-มาร กลุ่มคนเหล่านี้คิดว่ากลุ่มตรงข้ามเป็นพวกเลวร้าย สามานย์ ไม่มีคุณธรรม เป็นทาสเงิน ดังจะเห็นเอกสารในสถาบันพระปกเกล้าแบ่งความขัดแย้งมีรากเหง้ามาจากกลุ่มหนึ่งยึดคุณธรรมเป็นหลัก อีกกลุ่มยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก เมื่อเป็นเช่นนี้กลุ่มเหล่านี้จึงถือเป็นความชอบธรรมที่จะทำลายล้างผู้นำที่มาจากระบอบประชาธิปไตย หรือว่าที่มาจากระบบการเลือกตั้งที่เอื้อประโยชน์ให้ทุนสามานย์ครอบงำประเทศ ดังนั้นข้อสรุปของกลุ่มพวกนี้คือเทพชอบธรรมที่จะเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่ให้มารมาเป็นผู้ปกครอง เป็นรากเหง้าทางความคิดที่แบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม คือ เทพกับมาร ปลุกให้คนมาแสดงตัวเป็นคนดีง่าย ๆ โดยเพียงแต่มาชี้หน้าด่าคนอื่นว่าชั่ว
ง. ความสัมพันธ์และส่งผลสะเทือนต่อกันของการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา อุดมการณ์ วัฒนธรรม ที่มีการเคลื่อนไหวเป็นพลวัตร ส่งผลต่อผู้ที่ตามไม่ทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
เศรษฐกิจจากระบอบกสิกรรมดั้งเดิมปรับเปลี่ยนมาสู่ยุคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ส่งผลการเมืองก็ต้องพัฒนาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบสากลเหมือนสังคมโลกาภิวัฒน์ และมีผลต่อการปรับตัวโครงสร้างชั้นบน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง สังคม อุดมการณ์ วัฒนธรรม ศาสนา ให้มีลักษณะสากลที่เน้นสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค สิทธิมนุษยชน และภราดรภาพ แต่กลุ่มบุคคลในปริมณฑลเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา และสังคมวัฒนธรรมของไทยจำนวนหนึ่งปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ จึงต้องดำเนินการฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ เพื่อไม่ให้กลุ่มตนสูญเสียอำนาจและสถานะในสังคมโดยอ้างว่าต้องการประชาธิปไตยแบบไทย ๆ
ดังนั้น สรุปโดยย่อคือ ฝ่ายที่เป็นผู้กระทำด้านหลักให้น้ำหนักที่บุคคลเป็นศัตรูสำคัญที่สุดที่ต้องถูกเข่นฆ่าทำลายล้างโดยวิธีใดก็ได้รวมทั้งพลพรรค และถือว่ากลุ่มตนนั้นมีคุณธรรม (ที่ไม่มีมาตรวัด คิดเองตามใจชอบ) สมควรจะเป็นผู้ปกครองประเทศและมีอำนาจในประเทศนี้ เมื่อตั้งโจทย์ประเทศเป็นเช่นนี้ ก็กำหนดศัตรูและมิตร และวิธีการต่อสู้ที่ทำได้ทุกวิธี โดยอ้างความชอบธรรมตามความคิดของกลุ่มตน
ถ้าคิดว่าประเทศไทยเป็นร่างกายของผู้ป่วย ผู้ที่ต้องการรักษาผู้ป่วยนี้ให้หายก็ต้องวินิจฉัยโรคให้ถูก จึงจะดำเนินการรักษาและป้องกันโรคไม่ให้ย้อนกลับมาเป็นอีกได้
การตั้งโจทย์ปัญหาประเทศไทยผิด หรือแพทย์ประเมินสมุฏฐานโรคผิด ก็ทำให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาและรักษาผู้ป่วยผิดได้ ดังนั้นผู้ป่วยแทนที่จะหายก็ต้องเสียชีวิตในที่สุด หรือรู้สมุฏฐานช้าไปก็ไม่รอดเช่นกัน นอกจากแก้ความขัดแย้งไม่ตก ยังขยายความขัดแย้งออกไปจนเหตุการณ์ลุกลามและความขัดแย้งที่ดูว่าสงบก็กลับมาก่อปัญหาอีก
ส่วนคู่ขัดแย้งที่เป็นพรรคการเมืองและประชาชนผู้ต้องการระบอบประชาธิปไตย เป็นผลพวงจากพัฒนาการของสังคมในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ที่ต้องการการเมืองการปกครอง สังคมระบอบประชาธิปไตยที่เน้นสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคทางการเมือง สิทธิมนุษยชน และใช้การแข่งขันตามกติกาในระบอบประชาธิปไตย เฉกเช่นประเทศที่พัฒนาแล้ว คู่ขัดแย้งสามารถเอาชนะและกำจัดอำนาจคู่แข่งได้ตามกติกาในระบอบประชาธิปไตย
แต่ถ้าสรุปในเชิงทฤษฎีก็ต้องกล่าวว่า ความขัดแย้งของกลุ่มคนนั้นมาจากจุดยืน ผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ทัศนะที่มองพัฒนาการของโลก สังคมไทยที่แตกต่างกัน นำมาสู่วิธีการที่แก้ปัญหาประเทศนี้แตกต่างกัน
ธิดา ถาวรเศรษฐ
30 ก.ค. 57
(อ่านตอนที่ 2 ประกอบ : http://on.fb.me/1qPjqrt)
อ่านประกอบ : นปช.ไม่ส่งคนนั่งสภาปฏิรูปฯ “ธิดา” ย้ำความจริงไม่ปรากฏปรองดองไม่ได้
หมายเหตุ : ภาพประกอบ นางธิดา ถาวรเศรษฐ จาก postjung