นายกฯสมาคม อบต.ฟันธง 30 วันยื่นบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช.ไม่ทัน
นายกฯสมาคม อบต.เผย 80% ยังไม่รู้ประกาศ ป.ป.ช.ให้นักการเมืองท้องถิ่นทุกคนยื่นบัญชีทรัพย์สิน ติงวิธีประกาศผ่านเว็บไซต์-กำหนดเวลา 30 วันน้อยไป ยื่นไม่ทันแน่ 30,000 คน ชี้บัญชีเป็นแค่ตัวเลข ควรหาวิธีป้องกันทุจริตอย่างอื่นด้วย
จากประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เรื่องกำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2554 เพื่อกำหนดให้มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยประกาศลงราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.54 โดยกำหนดให้ต้องยื่นบัญชีภายใน 30 วันนับแต่ประกาศ
ทั้งนี้แต่เดิมให้มีการยื่นเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เทศบาลตำบล เทศบาลเมืองและเมืองพัทยา ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ส่วนประกาศฉบับใหม่จะทำให้มีจำนวนผู้ที่ต้องยื่นแสดงบัญชีดังกล่าวเพิ่มเป็นถึง 30,000 คน จากเดิมเพียงไม่กี่ร้อยคน
นายนพดล แก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล(นายกฯอบต.) เปิดเผยกับศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน สำนักข่าวอิศรา ว่าวิธีการที่ ป.ป.ช.ออกประกาศผ่านทางเว็บไซต์ ขณะที่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ทำให้ขณะนี้มีผู้เกี่ยวข้องที่ต้องยื่นบัญชีดังกล่าวรับรู้ไม่ถึง 80% โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางพื้นที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ขนาดนายกฯ อบต.บางคนก็ยังไม่รู้เรื่องประกาศดังกล่าว ซึ่งปัญหาที่จะตามมาแน่นอนคือเมื่อครบกำหนดในวันที่ 27 ส.ค.54 จะมีผู้ที่ยื่นไม่ทันจำนวนมาก
“อย่างสมาชิกใน อบต.พื้นที่ที่มีรายได้เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งเคยยื่นอยู่แล้วคงไม่มีปัญหา แต่คนใหม่ๆจะมีปัญหาแน่นอน เพราะไม่รู้ระเบียบ แบบฟอร์มการยื่นก็อยู่ที่เว็บไซต์ หลายคนเข้าไม่ถึงข้อมูล ดังนั้นเวลา 30 วันกับ 30,000 คน ไม่ทันอยู่แล้ว การส่งแบบฟอร์ม จะนำไปส่งที่ใคร ก็ยังไม่มีการชี้แจงให้ละเอียด และเมื่อถึงกำหนด ก็จะกลายเป็นว่าคนที่ยื่นไม่ทันผิดกฏหมาย”
นายกฯอบต. กล่าวต่อว่า ตอนนี้สมาคม อบต.ก็ช่วยกันทำประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งก็คงช่วยได้บ้างบางส่วน นอกจากนี้เมื่อถึงขั้นตอนการปฏิบัติก็อาจจะมีปัญหาทางเทคนิค คือ ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจวิธีการกรอกเอกสารข้อมูลตามระเบียบของหน่วยงานที่ตรวจสอบและกำกับดูแล เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นเดิน(สตง.) และ ปปช. ซึ่งที่ผ่านก็มักจะเกิดปัญหาที่กรอกข้อมูลไปแล้วกลายเป็นผิดระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งที่ไม่ได้มีเจตนาทุจริต แต่เป็นปัญหาในการกรอกเอกสาร
“ส่วนใหญ่เมื่อก่อนเคยเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ต่อมาเมื่อได้รับเลือกเข้ามาเป็นนักการเมือง ก็ต้องมาศึกษาเรื่องระเบียบทั้งหมด บางรายไม่เข้าใจ ไม่มีการถ่ายทอดจากผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนี้โดยเฉพาะ”
นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล ยังกล่าวว่า การยื่นบัญชีทรัพย์สินว่าก่อนรับตำแหน่งมีเท่าไร เพื่อดูว่าพอหมดวาระตำแหน่งแล้วมีเพิ่มมาเท่าไร ถือเป็นการให้นักการเมืองท้องถิ่นแสดงความโปร่งใส โดยหวังว่าจะเป็นระบบป้องกันตรวจสอบไม่ให้เกิดการทุจริตขณะดำรงตำแหน่ง แต่ทั้งนี้การยื่นบัญชีก็เป็นการแสดงตัวเลข ส่วนยื่นแล้วจะทุจริตหรือไม่นั้นอยู่ที่ตัวบุคคล จึงคิดว่าน่าจะไปป้องกันแก้ไขปัญหาที่ส่วนอื่นดีกว่า และที่ผ่านรายได้ส่วนใหญ่ของท้องถิ่นถูกกำหนดไว้แล้วว่ามาจากส่วนไหน และจะใช้จ่ายส่วนไหน เช่น รายจ่ายประจำ รายจ่ายประชานิยม จึงแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
“ที่ผ่านมาการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ถูกตรวจสอบโดยภาคประชาชนอยู่แล้ว ชาวบ้านจะติดตามผลงานของผู้บริหารท้องถิ่นว่าโปร่งใสหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงก็มีทั้งฝ่ายที่อยู่ข้างองค์การบริหารท้องถิ่น และฝ่ายที่อยู่ข้างนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม การตรวจสอบจึงเกิดขึ้นอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทั้งนี้เสนอให้มีการตรวจสอบข้าราชการประจำด้วย ไม่ใช่เพียงนักการเมืองท้องถิ่น เพราะฝ่ายประจำก็มีอำนาจจัดซื้อจัดจ้าง”
ที่มาภาพ http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000086912
.