รัฐเสียหายหนัก 'เครือข่ายผู้บริโภค' ไม่ขานรับเลื่อนประมูล 4จี
เครือข่ายผู้บริโภค ไม่ขานรับการเลื่อนประมูลคลื่น 4จี เหตุรัฐเสียหาย เอกชนได้ประโยชน์นับหมื่นล้านบาท เเนะเเก้ประกาศให้ทรู-ดีพีซี จ่ายเงินให้รัฐเหมือนเดิม
วันที่ 23 กรกฎาคม 2557 ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อนุสาวรีย์ชัยฯ เครือข่ายผู้บริโภค จัดแถลงข่าว ‘เครือข่ายผู้บริโภคไม่ขานรับการเลื่อนประมูลคลื่น:เตะหมูเข้าปากหมา รัฐเสียหายประชาชนไม่ได้ประโยชน์’ นำโดยน.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และน.ส.บุญยืน ศิริธรรม อดีตสมาชิกวุฒิสภา
แถลงการณ์ ระบุไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนการประมูลคลื่น 4G แต่เมื่อออกประกาศไปแล้ว ต้องรีบกำหนดกติกาใหม่ให้ดีกว่าเดิม เพราะกติกาของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) ที่รับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ไม่ได้คุ้มครองผู้ใช้บริการคลื่น 1800 ที่ยังมีผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่า 4 ล้านราย โดยต้องมีกลไกว่า กติกาใหม่จะกำหนดอย่างไร ให้ดีกว่าเดิม รอบคอบ มีส่วนร่วม แต่หากไม่กำหนดกลไก เปรียบเหมือนปล่อยอยู่ในมือ กสทช. ต่อไป จะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้นแน่นอน
ตรงกันข้าม ปัญหาในปัจจุบัน คือ มี กสทช. บางคนช่วงชิงเสนอแก้ไขกฎหมาย (พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553) เพื่อยกเลิกการประมูลคลื่น (การจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมด้วยการประมูล) ไปเลย เครือข่ายผู้บริโภคจึงมีความเป็นห่วงว่า คสช. และสังคมจะถูกชี้นำโดยข้อมูลด้านเดียว
นอกจากข้อเสนอให้ยกเลิกการประมูลแล้ว แถลงการณ์ ระบุต่อว่า ยังมีข้อเสนอให้ยกเลิกข้อห้ามการให้ผู้อื่นประกอบกิจการแทน ทั้งที่ข้อห้ามนี้เป็นเครื่องป้องกันการครอบครองคลื่นโดยไม่ใช้ประโยชน์ ไม่ให้มีการนำคลื่นไปค้ากำไรมือเปล่า โดยไม่ประกอบการ ดังนั้นข้อเสนอให้ยกเลิกข้อห้ามดังกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคหรือสังคมส่วนร่วม แต่มุ่งตอบสนองผู้ประกอบการเท่านั้น ดังนั้นจึงหวังว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะไม่ยอมรับการฉวยโอกาสในข้อนี้ และขอให้สังคมร่วมจับตาข้อเสนอลักษณะสอดไส้เหล่านี้ด้วย
แถลงการณ์ ยังเปิดเผยถึงกรณีการขยายมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการว่า เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ล่าช้าของ กสทช. ที่ไม่สามารถประมูลคลื่น 1800 ได้ทันภายในเวลาที่กำหนด จนต้องออกประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว กรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.2556 เป็นการอนุญาตให้บริษัทเอกชนที่เคยเป็นผู้รับสัมปทานใช้คลื่นความถี่ของรัฐวิสาหกิจในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถให้บริการต่อเนื่องต่อไปโดยใช้คลื่นความถี่และทรัพยากรต่างๆ อย่างเดิมภายหลังจากสัญญาสัมปทานสิ้นสุดแล้ว จึงเสมือนเป็นการขยายระยะเวลาสัมปทานอย่างไม่ถูกกฎหมาย
ฉะนั้นการที่ผู้รับสัมปทานไม่ต้องคืนคลื่นความถี่เพื่อนำไปจัดสรรใหม่ภายหลังหมดอายุสัมปทานและได้ให้บริการต่อไปอีก 1 ปี นั้น เป็นการเปิดช่องให้ผู้ประกอบการเอกสารสามารถใช้คลื่นความถี่หรือทรัพยากรสาธารณะได้ฟรี อันทำให้ผู้รับสัมปทานได้ประโยชน์จำนวนมาก โดยไม่ต้องเสียต้นทุนในการประกอบกิจการโทรคมนาคมเช่นเดียวกับผู้รับใบอนุญาตรายอื่น ส่วนรัฐกลับต้องสูญเสียรายได้หรือเงินเข้าแผ่นดินไป ดังนี้
1) ในสัมปทานปกติ ผู้รับสัมปทานจะต้องส่งรายได้ให้ผู้ให้สัมปทานร้อยละ 20-30 ของรายได้ในแต่ละปี ซึ่งใน พ.ศ. 2554 เพียงปีเดียวนั้น ปรากฏว่า TRUE Move และ DPC ได้จ่ายค่าสัมปทานไปถึงประมาณ 6,800 ล้านบาท (หกพันแปดร้อยร้อยล้านบาท)
2) หรือหากเป็นระบบการให้ใบอนุญาต ผู้ชนะการประมูลใบอนุญาตหรือผู้รับใบอนุญาตจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ร้อยละ 5.75 ของรายได้ในแต่ละปีตามที่ประกาศ กสทช. ที่เกี่ยวข้องกำหนด ซึ่งมีมูลค่าประมาณปีละ 1,300 ล้านบาทต่อปี (หนึ่งพันสามร้อยล้านบาท)
3) หากมีการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวทันทีเมื่อหมดอายุสัมปทาน โดยคำนวณจากราคาตั้งต้น (กรณีไม่มีการสู้ราคาเลยก็ตาม) ตามที่ กสทช. กำหนดในการจัดประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวแล้ว ผู้รับสัมปทานจะต้องเสียค่าใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวประมาณปีละ 1,200 ล้านบาทต่อปี (หนึ่งพันสองร้อยล้านบาท)
ทั้งนี้ แม้ประกาศดังกล่าวมีข้อกำหนดว่า ผู้ให้บริการมีหน้าที่นำเงินรายได้และดอกผลที่เกิดขึ้นจากการให้บริการ หักต้นทุนค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการให้บริการแล้ว เงินส่วนที่เหลือต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป แต่ข้อเท็จจริงจากกรณีบริษัททรูมูฟให้บริการตามประกาศดังกล่าวในช่วงเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา จากรายงานของบริษัททรูพบว่า การประกอบการอยู่ในภาวะขาดทุน รายได้ไม่เพียงพอที่จะหักรายจ่าย นั่นหมายความว่าจะไม่มีเงินคงเหลือให้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดินได้ ในทางตรงกันข้าม บริษัทอาจเรียกร้องให้ กสทช. หรือรัฐต้องชดเชยส่วนที่ขาดทุน จึงเป็นที่ชัดเจนว่า มาตรการตามประกาศนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ
- การบริการต่อหลังสิ้นสุดสัมปทานยังมีปัญหาว่า กสท โทรคมนาคม หรือ CAT อาจจะไม่ได้รับค่าเช่าใช้โครงข่ายในการให้บริการ
- เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ผลลัพธ์จากการใช้ประกาศดังกล่าว จะทำให้ผู้ใช้บริการที่ยังคงเหลืออยู่ต้องซิมดับหรือสูญเสียบริการไปอย่างแน่นอน เนื่องจากตามข้อ 10 ของประกาศได้กำหนดให้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการคุ้มครอง หากยังมีผู้ใช้บริการคงเหลือที่ไม่แจ้งความประสงค์จะขอย้ายไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่น ให้สิ้นสุดระยะเวลาคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวตามประกาศนี้ ประกาศจึงมิได้ช่วยการแก้ปัญหาซิมดับ แต่เป็นเพียงการเลื่อนเวลาซิมดับเท่านั้น และยังเป็นการยืนยันว่าซิมจะดับแน่นอน หากว่าผู้ใช้บริการไม่แจ้งความประสงค์จะขอย้ายไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่น
- การกำหนดให้ใช้ประกาศนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ได้ใช้บริการอย่างต่อเนื่องจึงไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม ทางเลือกเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคนั้นสามารถทำได้ในแนวทางอื่นๆ ที่ดีกว่า ทั้งในแง่ความถูกกฎหมาย ไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ และเป็นการบังคับและตัดสิทธิผู้บริโภค
“จะต้องแก้ไขประกาศให้บริษัททรูและดีพีซี จ่ายเงินให้รัฐเหมือนเดิม ไม่ใช่สามารถให้บริการโดยไม่ต้องจ่ายเงินเลยเช่นที่ผ่านมา”
ท้ายที่สุด แถลงการณ์ ระบุถึงข้อเสนอด้านกฎหมาย จะต้องมีหลักประกันว่าจะไม่มีการละเมิดหลักการใหญ่ที่สังคมตกผลึกร่วมกันแล้ว ในเรื่องเป้าหมายการปฏิรูปสื่อและการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานสู่ระบบการอนุญาต นอกจากนี้การปฏิรูปกฎหมาย กสทช. ต้องแยกบทบาทการกำกับดูและและการให้ใบอนุญาต เพราะที่ผ่านมา มีปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย (ประกาศและระเบียบ) ของ กสทช. เพื่อให้เกิดการคุ้มครองผู้ใช้บริการโทรคมนาคมอย่างแท้จริง
“กรณีค่าบริการระบบ 2G ต้องไม่เกิน 99 สตางค์, ราคาค่าบริการภายในเครือข่ายเดียวกันไม่แตกต่างกับบริการข้ามเครือข่าย, อัตราค่าบริการระบบ 3G ต้องต่ำกว่า 2G ร้อยละ 15, กรณีการเติมเงินล่วงหน้าทุกอัตราต้องได้ระยะเวลาการใช้งาน 30 วัน และสะสมได้ไม่น้อยกว่า 365 วัน”
สำหรับการปรับเปลี่ยนนั้นต้องพิจารณาในเชิงระบบ และมีกระบวนการที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มีความโปร่งใส ไม่ใช่การผูกขาดการออกแบบ รวมถึงควรกำหนดให้เรื่องระบบสื่อสารเป็นประเด็นหนึ่งในการปฏิรูปประเทศ .