สุทธิ อัชฌาศัย : ดวงตะวันล่วงลับที่มาบตาพุด
ภายหลังการจากไปของสุทธิ อัชฌาศัย ผู้คนจำนวนมากในโลกออนไลน์ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุคแสดงความเสียใจและอาลัยต่อการจากไป บางคนตั้งคำถามต่อการตายว่าอาจมีเงื่อนงำ
จินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นหนึ่งในผู้โพสต์ข้อความที่สะท้อนให้เห็นทุกขภาวะของคนที่เป็นผู้นำหรือแกนนำชาวบ้านอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุด อาจเป็นเพราะว่าเขียนออกมาจากชีวิตจริงประสบการณ์จริงที่จินตนาเองได้พานพบมาก่อน ดังนี้ว่า
"..ชีวิตของผู้นำชาวบ้าน เมื่อต้องใช้เงินเองในการขับเคลื่อน เริ่มขัดสน หมุนไม่ทัน มีหนี้สิน เริ่มถูกดูถุก เย้ยหยัน เพราะคนจนมักถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีถึงได้จน บางคนมองว่าไม่ทำงานเอาแต่ประท้วงอยู่นั่นแหละ บางคนมองว่าประท้วงเพราะได้เงิน เมื่อเกิดความสูญเสีย ถึงได้เริ่มคิดถึงว่าเราขาดการดูแลซึ่งกันและกัน แต่ก่อนหน้านั้น กลับไม่มองว่าสาเหตุที่ผู้นำหลายคนเจอสภาพหนี้สิน เพราะเขาหล่านั้นไม่ยอมงอมือ งอตีน หรือเลือกรับเงินจากแหล่งทุน ทำให้ส่วนหนึ่งจึงเป็นหนี้สิน ถ้าผู้นำคิดตื้นๆ แน่นอนคงห่างไกลจากคำว่า"จน"หรือ"เป็นหนี้".."
ทั้งผมและรศ.ดร.เรณู เวชรัชต์พิมล อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ร่วมงานกับสุทธิ อย่างจริงจัง ในคณะกรรมการสี่ฝ่าย(กรณีมาบตาพุด)ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
รศ.ดร.เรณูฯและผม ได้เป็นตัวแทนของภาคประชาสังคมในคณะกรรมการ 4ฝ่าย(กรณีมาบตาพุด) คำสั่งแต่งตั้งโดยนายอภิสิทธิ์นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยที่ผมไม่ทราบที่มาที่ไปว่าใครเป็นผู้เสนอชื่อผม
มาทราบภายหลังว่า สุทธิ อัชฌาศัยและคณะเป็นผู้เสนอชื่อเข้าไป ผมรู้สึกปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างมากเมื่อทราบความข้อนี้และเชื่อว่าอาจารย์เรณูคงรู้สึกเช่นเดียวกัน เราทั้งสองจึงทำหน้าที่สุดความสามารถให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากสุทธิและชุมชนมาบตาพุด คณะกรรมการสี่ฝ่าย แก้ปัญหามาบตาพุด ทำงานได้ประมาณ 8 เดือนเศษ แต่ในที่สุดรัฐบาลก็เลือกเอาข้อเสนอบางข้อไปใช้ประโยชน์ แต่ไม่ได้เลือกข้อเสนอที่จะช่วยลดมลพิษในพื้นที่มาบตาพุดที่มีประสิทธิภาพที่สุดไปใช้ ซึ่งสุทธิได้ตั้งคำถามถึง ความชอบธรรมในการทำงานของรัฐและผิดหวังกับการทำงานของรัฐ ซึ่งนำมาสู่การริดรอนกำลังใจของสุทธิเป็นอย่างมาก
ในระหว่างที่ทำงานด้วยกันในคณะกรรมการสี่ฝ่าย สุทธิมักจะนั่งฟังเป็นส่วนใหญ่ น้อยครั้งมากที่จะแสดงความคิดเห็น หากต้องการแสดงความคิดเห็นก็มักจะใช้วิธีนำข้อมูลมาให้อาจารย์เรณูและผมเป็นผู้พูดแทน ทั้งอาจารย์เรณูและผมรับรู้ได้ถึงความเก็บกดและทุกขเวทนาอันหนักอึ้งที่สุทธิต้องแบกรับไว้แต่ผู้เดียว ครั้งหนึ่งที่ผมลงไปในพื้นที่มาบตาพุด สุทธิเล่าให้ฟังว่าเวลาไปงานเลี้ยง มีคนนำกาแฟมาเสริฟ สุทธิจะปฏิเสธทุกครั้งไปเพราะคนที่คอยดูแลความปลอดภัยให้สุทธิถูกยาพิษที่ใส่ในกาแฟถึงกับเสียชีวิตทั้งๆที่เป้าหมายอยู่ที่ตัวสุทธิ สุทธิให้ความไว้วางใจอาจารย์เรณูมากเพราะอาจารย์เรณูลงไปลุยในพื้นที่มาบตาพุดหลายต่อหลายครั้งร่วมกับแกนนำชาวบ้าน อาจารย์เรณูจึงรับรู้ถึงความบีบคั้นในชีวิตของเขามากกว่าใครอื่น อาจารย์เรณูบันทึกความในใจที่มีต่อสุทธิ ความตอนหนึ่งมีดังนี้...
"..การทำหน้าที่ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกของคุณสุทธิ เกิดขึ้นจากหัวใจของ คนหนุ่ม ที่ต้องการเห็น จังหวัดระยองเป็นเมืองน่าอยู่ เขาเริ่มต้นจากตรงนั้น และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ในการพัฒนาย่านเมืองเก่าบริเวณ ถนนยมจินดากับชุมชนและท้องถิ่น ผลักดันให้เกิด "พิพิธภัณฑ์เมืองระยอง" จนเป็นที่รู้จักกันดี และใช้เป็นสถานที่ จัดงานวัฒนธรรมของจังหวัดระยอง ถึงปัจจุบัน น้ำคือชีวิต ดังนั้นวิกฤตภัยแล้ง ในปี พ.ศ. 2548 จึงเป็นจุดเริ่มต้น ของการถักทอสายธาราเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต ลดความเดือดร้อนของประชาชนจากการถูกแย่งชิง ทรัพยากรน้ำ จึงก่อกำเนิดเป็น เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก รวม 8 จังหวัด และเขาได้รับการคัดเลือกจากมติที่ประชุมให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานเครือข่ายฯ นี้ งานชิ้นแรกจึงเริ่มจากการปกป้อง ชุมชน ชาวสวน ชาวนา และประชาชนในเมืองที่ต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน โดยไม่ยอมให้มี การแย่งใช้ทรัพยากรน้ำย่างไม่เป็น ธรรม จากนโยบายการจัดสรรน้ำ ที่มุ่งช่วยเหลืออุตสาหกรรม โดยไม่ยินยอมให้ รัฐผันน้ำในอ่างเก็บน้ำซึ่งมีเจตนารมณ์ในการสร้างเพื่อการอุปโภค บริโภคและเพื่อเกษตรกรรม ไปให้อุตสาหกรรมอย่างตามต้องการ
จากการทำงานเป็นเครือข่าย มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทำให้พบว่า คนมาบตาพุด เริ่มมีอาการเจ็บป่วยมากกว่าปกติ เขาจึงเริ่มค้นคว้าข้อมูลและพบว่ามี รายงายการวิจัย รายงานการประชุมของหน่วยราชการและสถาบันการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การที่คนมาบตาพุดเจ็บป่วยมาขึ้นกว่าก่อนเป็นเมืองอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยเฉพาะความผิดปกติในระบบ ทางเดินหายใจนั้น และอัตราการเจ็บป่วย สูงกว่าประชาชนในจังหวัดจันทบุรีซึ่งมีวิถีชีวิตของประชาชนคล้ายกัน ทำให้เขาเชื่อมโยงการทำงานกับ นักวิชาการในองค์กรต่างๆ มากขึ้น จนนำไปสู่ข้อสรุปว่า การเจ็บป่วยของคนมาบตาพุดที่ พบมากขึ้น รวมทั้งข้อมูลการตรวจ พบมลพิษในอากาศและในน้ำซึ่งเป็น สารเคมีอันตรายและหลายชนิดเป็น สารก่อมะเร็งในปริมาณสูงเกินค่า มาตรฐาน
ดังนั้นต้นเหตุของการเจ็บป่วยจึง มาจาก "มลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม" ทำให้คุณสุทธิสนใจที่จะใช้มาตรการ ทางกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชน เขาจึงเดินหน้าขอให้รัฐบาลประกาศ ให้พื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง เป็น "เขตควบคุมมลพิษ" เพราะเขาได้ศึกษาแล้วว่าถ้าพื้นที่ใดถูกประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ จะต้องมีการจัดทำแผนลดและขจัดมลพิษ รวมทั้งมีการกระจายอำนาจ ให้ท้องถิ่นกำกับดูแลโรงงานใกล้ชิด มากขึ้น เขาทำเรื่องนี้ร่วมกับเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกได้สำเร็จและ พื้นที่มาบตาพุดและใกล้เคียงอีก 5 พื้นที่ถูกประกาศเป็นเขต ควบคุมมลพิษในปี พ.ศ. 2552 บัดนี้ผ่านมา 5 ปี แล้ว การแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษยังไม่ก้าวหน้าจนเห็นผลได้ชัดเจน แต่มาบตาพุดกลายเป็น แหล่งเรียนรู้ของคนไทยและ นานาชาติที่สะท้อนความล้มเหลวของการพัฒนาอุตสาหกรรม ในเชิงการพัฒนาที่ขาดความสมดุล ทำให้ชุมชนท้องถิ่นล่มสลายและมีมลพิษมากทั้งในอากาศ น้ำ ทะเล ปนเปื้อนถึงแหล่งน้ำใต้ดินของชุมชน....."
จึงกล่าวได้ว่าสุทธิ อัชฌาศัย เป็นผู้ทำให้ “มาบตาพุด” กลายเป็นวาทกรรมและสัญลักษณ์แห่งมลพิษและทุกขภาวะ เป็นภาพสะท้อนแผนการพัฒนาประเทศและนโยบายสาธารณะที่ผิดพลาดไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิต สุขภาพของผู้คนและชุมชน รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นทิศทางการพัฒนาที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีของผู้คนโดยเฉพาะคนเล็กคนน้อยในพื้นที่ เป็นการพัฒนาที่เอาโลภะจริตหรือจีดีพีเป็นตัวตั้ง เป็นการพัฒนาที่ถูกขับเคลื่อนด้วยยระบอบทุนสามานย์ ที่สามัญชนคนธรรมดาแม้จะยิ่งใหญ่ปานใดเช่นสุทธิ อัชฌาศัย มีหรือจะต้านทานได้ไหว
เมื่อครั้งที่สืบ นาคะเสถียรได้เพียรพยายามอย่างสุดชีวิตในการปกป้องแก่งเชี่ยวหลานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ความพยายามของสืบนั้นประสบผลสำเร็จน้อย เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ให้ความสนใจ ชาวบ้านท้องถิ่นก็สนใจปากท้องมากกว่า จึงรับจ้างผู้มีอิทธิพลเข้ารุกรานป่า
ในครั้งนั้น สืบ นาคะเสถียรตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้สังคมได้แลเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกว่า...การตัดสินใจฆ่าตัวตายในครั้งนี้ของสุทธิ อัชฌาศัย เป็นเพราะสุทธิ ต้องการเรียกร้องให้ผู้คนบนแผ่นดินนี้เคารพสิทธิชุมชน ให้ชุมชนมีสิทธิในการใช้ การจัดการ ปกป้องคุ้มครอง บํารุงรักษา และได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ขอแสดงความคารวะต่อจิตวิญญาณของสุทธิ อัชฌาศัย สามัญชนที่ยิ่งใหญ่แห่งมาบตาพุดที่ช่วยกันปกปักษ์รักษาแผ่นดินถิ่นเกิดไว้ให้ลูกหลานในภายภาคหน้า และช่วยทําให้คนไทยท้ังประเทศและประชาคมโลกได้รับรู้ว่า ในขณะท่ีเราไม่สามารถตั้งความหวังหรือฝากอนาคตของชาติไว้กับนักการเมืองที่ฉ้อฉล ข้าราชการท่ีกังฉิน และนักธุรกิจที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคมได้ แต่เราก็ยังคงมี ความหวังกับพลังเครือข่ายของสามัญชนคนธรรมดาท่ีอยู่ที่ฐานล่างของประเทศ