ภาคีปฏิรูปสวล. ชงลดบทบาท ‘บีโอไอ’ เทียบเท่าองค์การส่งเสริมท่องเที่ยว
นักวิชาการชี้ปัญหาขุดเจาะปิโตรเลียมอีสานกระทบชุมชน จี้รัฐยกเลิกสัมปทาน รอบที่ 21-สั่งตรวจสอบแปลงให้สัมปทานเดิม เอ็นจีโอชงรัฐบาลลดบทบาท ‘บีโอไอ’ เทียบเท่าองค์การส่งเสริมท่องเที่ยว หวังแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
วันที่ 16 กรกฎาคม 2557 ภาคีปฏิรูปนโยบายสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม จัดเวทีอภิปราย ‘ถึงเวลาปฏิรูปนโยบายสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม’ ณ ศูนย์ศึกษาวิภาวดี มหาวิทยาลัยรังสิต อาคารทีเอสที ทาวเวอร์
น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวถึงสาเหตุการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปนโยบายสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมว่า เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้คุณภาพสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ขาดการดูแลฟื้นฟูอย่างถูกต้อง และในที่สุดทำให้ชาวบ้านมีสุขภาพทรุดโทรมจากโรคเรื้อรังที่มีบ่อเกิดจากมลพิษสูงขึ้นทุกปี
“เมื่อมีปัญหาสะสมเรื่อย ๆ จึงทำให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อภาครัฐในการแก้ไขปัญหาขาดความน่าเชื่อถือ และหลายกรณีมีความขัดแย้งทางสังคมเกิดขึ้นกลายเป็นคดีสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น” ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว และว่าแม้จะมีการประกาศพื้นที่เป็นเขตควบคุมมลพิษ แต่พบไม่สามารถควบคุม ป้องกัน หรือฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้ ด้วยมีการทุจริตคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายจากการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เกิดการใช้อิทธิพลในพื้นที่รุนแรง จนส่งผลต่อความปรกติสุขในชุมชน
น.ส.เพ็ญโฉม ยังกล่าวถึงข้อเสนอเชิงนโยบายให้ทบทวนด้วยการหยิบยกคำพูดของ ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เคยเรียกร้องให้มีการลดบทบาทของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (The Board of Investment of Thailand:BOI) เหลือเทียบเท่าองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว พร้อมยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อหวังให้มีกลไกช่วยเหลืออุตสาหกรรมขนาดย่อม ซึ่งสามารถกระจายรายได้และประคองเศรษฐกิจของประเทศให้เท่าเทียมมากที่สุด
ด้านรศ.ดร.เรณู เวชรัตน์พิมล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ปัญหาของชาวบ้านส่วนใหญ่เกิดจากคนรวยเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม จนเวลาต่อมาได้ส่งผลให้เกิดมลพิษ เช่น พื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ตรวจพบสารหนูในร่างกายและบ่อน้ำ
“หอยพื้นที่มาบตาพุดไม่ควรนำมารับประทาน เพราะมีการตรวจพบดีเอ็นเอหอยผิดปกติ แต่ปรากฏว่าชาวบ้านไม่เชื่อ ทั้งที่ความจริงสารพิษที่พบนั้นจะสะสมจนเมื่ออายุมากขึ้นจะกลายเป็นโรคมะเร็งได้ ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยป่วยเป็นโรคนี้มาก และมีอายุเฉลี่ยต่ำลง”
นักวิชาการ ม.ศิลปากร กล่าวถึงข้อเสนอต้องมีการแก้ไขขั้นตอนการอนุญาต กำกับ ติดตาม และสั่งปิด ไม่ควรเป็นหน่วยงานเดียวกัน แต่ต้องสร้างกลไกการคานอำนาจขึ้น รวมถึงส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบ ถ่ายทอดเทคโนโลยีควบคู่ และลงทุนการวิจัยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้สนับสนุนให้ร่วมมือกับข้าราชการเกษียณอายุที่มีความสามารถให้กลับมาทำงานในประเด็นดังกล่าวกับนักเรียนสถาบันอาชีวศึกษา
ขณะที่ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม กรณีการขุดเจาะปิโตรเลียมในภาคอีสานว่า ขาดการรับฟังความคิดเห็น ค.1 ค.2 ค.3 บิดเบือนข้อมูลในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment:EIA) และมีการซื้อเสียงสนับสนุนด้วยการแจกสิ่งของแก่ชาวบ้านและโครงการต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิต
นักวิชาการ ม.มหาสารคาม จึงเรียกร้องให้แก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ให้สิทธิประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ พร้อมยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ.2548 โดยให้กลับไปใช้ระเบียบ พ.ศ.2539 แทน
“หยุดการให้สัมปทานรอบที่ 21 พร้อมตรวจสอบแปลงที่ให้สัมปทานแล้ว กรณีทำผิดกฎหมายจะต้องเพิกถอนทันที และจัดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ด้วย” ดร.ไชยณรงค์ กล่าว และยังให้แก้ไขพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ให้มีบทลงโทษผู้ประกอบการ บริษัทที่ปรึกษา หรือนักวิชาการ ที่กระทำความผิดในการศึกษา
นักวิชาการ ม.มหาสารคาม กล่าวถึงกรณีการซื้อเสียงสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่จะต้องถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นแจกเสื้อผ้า มอบเงินให้วัด มัสยิด เพราะอาจส่งผลต่อการตัดสินใจที่บิดเบี้ยวในอนาคตได้
ทั้งนี้ เสนอให้ยกเครื่องสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะที่ผ่านมา สผ.มักปกป้องผลประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า จนทำให้กระบวนการศึกษาผลกระทบบิดเบี้ยว รวมถึงให้สิทธิชุมชนได้จัดทำรายงาน EIA ได้ด้วย .
ภาพประกอบ:thailandindustry.com