จักร์กฤษ : เมื่อสื่อตรวจสอบสื่อ "จริยธรรม" สำคัญกว่า "เพื่อนฝูง" "เจ้านาย"
"..ถึงที่สุดแล้ว แม้ทั้ง 19 รายชื่อ นี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับเรา เป็นเพื่อนฝูง เป็นเจ้านาย เรื่องเหล่านั้น ก็ไม่ใช่อุปสรรค หรือเป็นปัญหาที่เราจะต้องปิดบังข้อมูลหรือไม่เปิดเผย คือเมื่อผลการตรวจสอบสรุปออกมาอย่างไร เราก็ต้องเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปกังวลว่ามันจะไปมีผลกระทบอะไรกับใคร เพราะนี่คือการทำหน้าที่อย่างสำคัญที่สุด.."
ไม่อาจปฏิเสธว่านาทีนี้ "จริยธรรมสื่อ" กำลังถูกตั้งคำถามครั้งใหญ่ ภายหลังจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์จัดตั้งคณะกรรมการอิสระ ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีข้อกล่าวหาสื่อมวลชนรับเงินบริษัทเอกชนเพื่อปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพ ตามที่ศูนย์ข้อมูล & ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) เผยแพร่เอกสารลับของฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัทยักษ์ใหญ่โดยระบุว่ามีรายชื่อนักข่าวและตัวเลขการจ่ายเงินสื่อมวลชน 19 ราย
จากกระแสข่าวดังกล่าว ทำให้เส้นแบ่งจิรยธรรมคนทำสื่อ-ธุรกิจสื่อ-สื่อธุรกิจ คล้ายพร่าเลือนจนกลายมาเป็นวาระถกเถียงของสังคมอีกครั้ง
สำคัญกว่านั้น ข่าวดังกล่าวทำให้สื่อต้องหันมาสำรวจตัวเองตรวจสอบกันเองด้วย การตั้งกรรมการอิสระครั้งนี้จึงน่าจับตาและเป็นเรื่องท้าทายว่าถึงที่สุดแล้ว หากพบว่ามีการกระทำผิดทางจริยธรรม วิชาชีพสื่อจริง กระบวนการตรวจสอบและ 'ลงดาบ' จะเป็นไปอย่างจริงจังแค่ไหน
"จักร์กฤษ เพิ่มพูล" ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ตอบคำถาม "สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org" ในทุกประเด็นร้อนที่กล่าวมา
@ : การสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คิดว่าจะะเผชิญกับแรงเสียดทานหรือไม่ เมื่อต้องตรวจสอบสื่อด้วยกัน
จักร์กฤษ : คือเรื่องนี้การที่จะปกป้อง ป้องกันคำครหาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ เราก็ต้องทำใจยอมรับในความเห็นหลากหลายของสังคม แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือเราต้องพยายามให้ถึงที่สุด ผมจึงให้กรรมการชุดนี้ มีความเป็นอิสระ ปราศจากจากการแทรกแซงทั้งจากภายนอก ทั้งกับกรรมการด้วยกันเอง หรือจากบุคคลภายนอกไม่ว่าฝ่ายไหน เมื่อวาน (15 ก.ค.) ผมก็เพิ่งเซ็นรับรองประกาศตั้งกรรมการอิสระมีคุณกล้านรงค์ จันทิกเป็นประธาน ซึ่งท่านเหล่านี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสื่อเลย เป็นกรรมการอิสระ เราก็ให้กรรมการทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระจริงๆ ผมก็ไม่ไปวุ่นวาย ไม่ไปยุ่งเกี่ยว ซึ่งผมเชื่อว่าศักยภาพระดับนี้ ชื่อเสียงของท่านเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นหลักประกัน ความน่าเชื่อถือได้ระดับหนึ่ง
@ : เรื่องนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามกันมากถึงจริยธรรมสื่อมวลชน
จักร์กฤษ : คำถามเรื่องจริยธรรมสื่อมวลชน ไม่ได้เพิ่งถูกถามถึงเมื่อเกิดข่าวเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่สังคมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำงานของสื่อ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับจริยธรรมหรือไม่เกี่ยวก็ตาม เป็นเรื่องที่เราในฐานะองค์กรวิชาชีพที่มี่หน้าที่โดยตรงจะต้องใส่ใจและทำเรื่องนี้ให้มีความกระจ่างต่อสังคม
เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าเรื่องนี้ มีคนถามถึงจริยธรรมมากน้อยแค่ไหน คือมีอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือ เมื่อมันมีข่าวนี้ปรากฏต่อสาธารณะและไม่มีความชัดเจน เราก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นองค์กรกำกับจริยธรรม
@ : เมื่อมีเรื่องนี้เกิดขึ้น ใช้เวลาหารือนานไหมในสภาการหนังสือพิมพ์และสภาวิชาชีพฯ จึงออกแถลงการณ์ และระบุว่าจะตั้งกรรมการสอบ
จักร์กฤษ : ผมว่าโดยหน้าที่เราแทบจะไม่ต้องใช้เวลาอะไรมากเลย ทันทีที่ผมได้อ่านข่าวนี้จาก tcij ผมก็คิดอยู่แล้วว่า เราจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบ มันไม่ใช่หน้าที่พิเศษอะไร แต่เป็นหน้าที่ตามปกติ และผมเห็นว่าเรื่องครั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับสื่อออนไลน์และโทรทัศน์วิทยุด้วย ดังนั้น การจะมีแถลงการอะไรก็ควรจะแถลงการณ์ร่วมระหว่างสื่อโทรทัศน์ กับหนังสือพิมพ์ โดยในเบื้องต้น เราก็มีแถลงการณ์แสดงถึงท่าที จุดยืน ความกังวลห่วงใยในเรื่องนี้ และมีคอมมิตเมนต์ว่าเราจะตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
@ : วางกรอบเวลาการสรุปข้อเท็จจริงของคณะกรรมการชุดนี้ไว้หรือไม่
จักร์กฤษ : ผมใช้คำว่าเร็วที่สุด ผมให้กรรมการทั้งหลายทำงานอย่างอิสระ ผมจะไม่ไปกำหนดเกฏเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเมื่อสังคมเรียกร้องความจริงโดยเร็ว ผมก็ให้ภาพกว้างๆ ว่า เมื่อมันกระทบกับหลายฝ่ายอาจใช้เวลา
แต่โดยรวมแล้ว ทำให้เร็วที่สุดจะดี เพราะสังคมรอคำตอบอยู่ แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ถ้าเร็ว แล้วมันกระทบกับทั้งในแง่ของสื่อฯ กับบริษํทที่ถูกกล่าวอ้าง ก็อาจต้องใช้เวลาเพื่อให้เกิดความรอบคอบที่สุด มันไปขีดเส้นไม่ได้หรอกว่าต้องเสร็จ ภายในเดือน สองเดือนแต่ตามหลักการแล้วก็ควรต้องทำให้เร็วที่สุด
@ : เรื่องแถลงการณ์ที่ออกมา มีเนื้อหาทั้งพิทักษ์-ปกป้องสิทธิสื่อที่ถูกเปิดเผยชื่อและที่อยู่ กับความกล้าที่จะตรวจสอบสื่อ จริงๆ แล้ว จุดยืนของ สภาการฯ คืออะไร ระหว่างการพิทักษ์สื่อกับความกล้าที่จะตรวจสอบสื่อด้วยกัน
จักร์กฤษ : ผมคิดว่าการจะบอกว่าพิทักษ์สื่อหรือพิทักษ์ใครนั้น ไม่ตรงเสียทีเดียว แต่ผมอยากจะบอกว่า เบื้องต้น เรื่องนี้นี่คือข้อกล่าวหาทั้งในแง่ของสื่อและเป็นการกล่าวหาบริษัทที่ถูกกล่าวอ้างด้วย เรายังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงใดในขณะนี้ ว่าจริงๆ แล้ว สื่อผิดไหม บริษัทผิดไหม เอกสารนี้ผิดไหม เอกสารนี้ ถูกต้องไหม เป็นเอกสารที่ถูกสร้างขึ้นไหม ตัดต่อไหม ซึ่งผมว่าเรื่องนี้เรายังไม่สามารถด่วนสรุปได้ว่าใครผิดใครถูก และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เพราะการที่ระบุชื่อคนว่ามีส่วนรับอามิสสินจ้างในขณะที่เรากำหนดเป็นกรอบจริยธรรม และการที่บริษัทนี้ใช้วิธีการไม่ปกติในการซื้อสื่อ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก
เพราะฉะนั้น การจะไปกล่าวหาใคร ระหว่างนี้ นั่นหมายความว่า เราต้องมีกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง เราต้องให้ความเป็นธรรม แสวงหาหลักฐานที่มันชัดเจนเพียงพอ มีน้ำหนักเพียงพอ ข้อเท็จจริงชัดเจน การที่จะมองว่าเราพิทักษ์ใครหรืออะไร เรายังไม่ได้ไปถึงขั้นนั้น เราเพียงกลับมาที่ภาระหน้าที่หลักของเราเท่านั้นเองว่าเมื่อมีข้อสงสัยจากสังคม มีความกังวล ว่า เอ๊ะ ตกลง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เราเพียงต้องให้คำตอบสังคม
@ ถ้าถึงที่สุดแล้ว ทั้งเรื่องนี้ หรือในอนาคตมีเหตุการณ์ที่มีข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นการกระทำผิดจริยธรรมวิชาชีพฯ สภาการหนังสือพิมพ์และสภาวิชาชีพฯ จะมีบทลงโทษอย่างไร
จักร์กฤษ : คือการรับเงินที่บอกว่าเป็นการสนับสนุนเฉพาะรายบุคคล ในแง่หลักการมันผิดจริยธรรมอยู่แล้ว ถ้าปรากฏว่าจ่ายเงินจริงในลักษณะนี้ก็เป็นการผิดจริยธรรม เราก็ต้องแถลงหรือสรุปข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาว่ามีสื่อรายใดบ้าง
ต้องเข้าใจว่าเราไม่ใช่ศาล ไม่ใช่ผู้พิพากษาที่จะไปตัดสินใคร แต่หากมีข้อเท็จจริงปรากฏเราก็ต้องแถลงไปตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวน แต่การจะสรุปว่าถูก-ผิด อย่างไร ก็ต้องเป็นการพิจารณาอย่างรอบคอบ ถึงตอนนั้นคงต้องหารือกับสภาการหนังสือพิมพ์ด้วย ถ้าปรากฏชัดเจนว่ามีการจ่ายจริงก็ปรากฏชัดเจนว่าเป็นการผิดจริยธรรม เราก็ต้องแถลงข่าวว่ามีใครบ้าง
ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องชัดเจน เราต้องมีหน้าที่ในการตรวจสอบจริยธรรม เราไม่ใช่ศาล แต่ถ้าเราพบข้อเท็จจริงแบบนี้ ก็คงต้องแถลงไปตามข้อเท็จจริง ที่ได้มาจากการสอบสวน ถ้าเราพบว่ามีการจ่ายและรับจริง โดยไม่ใช่ค่าโฆษณา เราก็ต้องตรวจสอบ ร่วมกับคณะกรรมการของสภาการหนังสือพิมพ์ด้วยไม่ว่าเรื่องนี้ หรือเรื่องไหนก็ตามแต่ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
@ : คุณมีส่วนร่วมในกรรมการชุดนี้บ้างไหม
จักร์กฤษ : ผมยืนยันว่า กรรมการอิสระชุดนี้ เป็นกรรมการที่อิสระอย่างแท้จริง ผมพูดกับท่านทั้งหลายว่า เราก็ทำให้ละเอียดรอบคอบที่สุด ใครผิดใครถูกก็ว่ากันไปตามนั้น ผู้ถูกกล่าวหาหรือกรณีที่มีการพาดพิงใคร ผมว่ากรรมการคงต้องเชิญมาอยู่แล้ว ผมยืนยันว่ากรรมการเหล่านี้อิสระอย่างแท้จริง เพียงแต่ด้วยภารกิจ หน้าที่ ก็ต้องทำให้รัดกุมที่สุด
@ : ก่อนนี้ เคยมีการร้องเรียนกรณีเอกชนจ่ายเงินซื้อสื่อไหม
จักร์กฤษ : เรื่องแบบนี้ ความจริงคนที่ทำอาชีพนี้มานานๆ ก็คงรู้อยู่แล้วล่ะ ว่ามีกรณีนี้เกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง แต่เราเพียงได้ยินมา
แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีหลักฐานอ้างอิง ผมยืนยันว่าเราจะจัดการดำเนินการตามหน้าที่ นี่เป็นครั้งแรกๆ ที่มีหลักฐานอ้างอิงว่ามีคนรับ เมื่อมีหลักฐานกล่าวอ้างแบบนี้และเผยแพร่สู่สาธารณชนก็เป็นหน้าที่ที่ต้องทำความจริงให้ปรากฏ
@ : เหตุการณ์นี้ นำไปสู่บททดสอบอะไรของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนบ้าง
จักร์กฤษ : ประเด็นสำคัญที่มีคนตั้งข้อสังเกตกันก็คือสภาการหนังสือพิมพ์เป็นแค่เสือกระดาษ ซึ่งเราไม่แก้ตัว ว่าเป็นหรือไม่เป็น แต่ผมยืนยันว่าสภาการหนังสือพิมพ์ของเราก็ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ต่อเนื่อง กรณีนี้ เป็นหนึ่งในหลายๆ กรณีที่เราไม่รีรอที่จะทำและถึงที่สุดแล้ว แม้ทั้ง 19 รายชื่อ นี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับเรา เป็นเพื่อนฝูง เป็นเจ้านาย เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ใช่อุปสรรค หรือเป็นปัญหาที่เราจะต้องปิดบังข้อมูลหรือไม่เปิดเผย คือเมื่อผลการตรวจสอบสรุปออกมาอย่างไร เราก็ต้องเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปกังวลว่ามันจะไปมีผลกระทบอะไรกับใคร เพราะนี่คือการทำหน้าที่อย่างสำคัญที่สุด
...
ทั้งหมดนี่คือคำตอบจากประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ต่อวาระที่องค์กรและวิชาชีพสื่อถูกตั้งคำถามครั้งใหญ่จากสังคม ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งท้าทายว่ากระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้ จะดำเนินไปอย่างเที่ยงธรรมดังหวัง หรือเผชิญแรงเสียดทานใดๆ จนทำให้ต้องสั่นคลอนหรือไม่ คำตอบนั้นคงปรากฏให้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้
ภาพประกอบจาก : mediainsideout.net