ระวัง!! อะฟลาท็อกซินทางลมหายใจ
"บอกตรงๆ ว่า ลำพังผ้าปิดปากอย่างธรรมดาสามัญที่ใช้กันอยู่ป้องกันสารพิษเข้าสู่ทางเดินหายใจไม่ได้ ในทางการแพทย์ควรใช้หน้ากากชนิด N95 ซึ่งจะสามารถป้องกันตั้งแต่แบคทีเรีย ไวรัส จนถึงฝุ่นละอองอันปนเปื้อนสารเคมีต่างๆจึงจะได้ผล"
ผมเห็นภาพที่ทหารกำลังตรวจโกดังเพื่อสร้างความกระจ่างโครงการจำนำข้าวแล้วก็เกิดความเป็นห่วงพวกท่านที่กำลังทำงานเพื่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกท่านกำลังตรากตรำตรวจสอบข้าวในโกดังอันแสนจะอับชื้น แวดล้อมด้วยข้าวเสื่อมข้าวเน่า
และแน่นอนว่า อากาศในนั้นย่อมเต็มไปด้วยสารเคมีที่ใช้อบข้าว และไม่แคล้วที่จะต้องมีสารพิษอะฟลาท็อกซินจากข้าวที่ขึ้นราตระหลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณด้วย ลำพังสารเมธิลโบรไมด์ที่ใช้อบข้าวอาจเพียงทำให้แสบตา แสบผิว หรือระคายเคืองระบบหายใจ แต่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดสารพิษอะฟลาท็อกซินมีสิทธิ์ผ่านทางลมหายใจเข้าสู่ปอด และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดอีกด้วย
อะฟลาท็อกซินเป็นสารพิษจากเชื้อราซึ่งฟักตัวในต้นธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด และถั่วต่างๆอะฟลาท็อกซิน B1 เป็นสารก่อมะเร็งอย่างแรงในสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย จึงมีความสนใจที่จะศึกษาผลของการสัมผัสสารพิษตัวนี้อย่างยาวนาน ในที่สุดเมื่อปีค.ศ.1988 องค์กรนานาชาติว่าด้วยการศึกษาวิจัยมะเร็ง(IARC) ก็ประกาศว่า เชื้ออะฟลาท็อกซินB1 เป็นสารก่อมะเร็งแก่มนุษย์เราเป็นอันดับต้นๆ
ทั้งหมดนี้มีหลักฐานยืนยันทางระบาดวิทยาทั้งในเอเชีย แอฟริกา ที่พบความสัมพันธ์ของอะฟลาท็อกซินกับมะเร็งตับ
มีรายงานมากมายในประเทศโลกที่สามเช่นไต้หวัน อูกานดา อินเดีย ฯลฯถึงการต้องพิษอะฟลาท็อกซินเฉียบพลัน อาการที่เป็นเฉียบพลันคือปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน เกิดน้ำในปอด ชัก หมดสติ และเสียชีวิตจากสมองบวมน้ำ หรือเกิดไขมันพอกตับ ไต และหัวใจ
คนเราสัมผัสกับอะฟลาท็อกซินจากอาหารที่กินซึ่งปนเปื้อนเชื้อรา การสัมผัสสารพิษนี้ปนเปื้อนสู่กันและกันได้รวดเร็วในไร่ในนา ในกระบวนการสีข้าว กระบวนการเก็บในโกดัง สภาพแวดล้อมของที่กักเก็บ ซึ่งประเทศในเขตร้อนมักมีความชื้นสูง แม้ว่าในตลาดการค้าทั่วโลกจะมีข้อบังคับไม่ซื้อขายข้าวหรือธัญพืชที่มีปริมาณอะฟลาท็อกซินสูงเกิน แต่การปนเปื้อนในปริมาณที่น้อยๆ ก็ยังดำเนินอยู่ในกระบวนซื้อขายข้าวและธัญพืชระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยที่ก่อมะเร็งจากการกินเข้าไปทีละเล็กทีละน้อยแต่ต่อเนื่องยาวนานของผู้บริโภคทั่วโลก
การต้องพิษอะฟลาท็อกซินมักเกิดจากปัจจัยของการที่ขาดแคลนอาหารการกินชุมชนนั้นๆจึงต้องกินอาหารที่มีคุณภาพต่ำ บ้างเกิดจากภาวะอากาศร้อนชื้นที่ทำให้ข้าวและธัญพืชที่เก็บไว้เกิดเชื้อรา และที่สำคัญก็ยังเกิดจากประเทศหรือชุมชนนั้นๆที่ขาดความเอาใจใส่ ขาดระบบการควบคุมดูแลการแพร่กระจายของเชื้อราที่ปล่อยสารพิษเหล่านี้
องค์การ FAO ประมาณการณ์ไว้ว่า ธัญพืชของโลกทุกวันนี้กว่า 25% ถูกปนเปื้อนด้วยสารพิษจากเชื้อรา และสารพิษที่น่ากลัวที่สุดก็คืออะฟลาท็อกซิน อะฟลาท็อกซินก่อผลสูญเสียต่อปศุสัตว์เพราะสารพิษตัวนี้ ถ้าปริมาณมากทำให้สัตว์ตาย ถ้าปริมาณน้อยๆ ทำให้สัตว์เบื่ออาหาร ภูมิต้านทานลดลง เจริญเติบโตช้า เลี้ยงเท่าไหร่ก็ไม่โต ต้นพืชที่ติดเชื้อราจะป่วยเป็นโรค แคระแกร็น และให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ
การสัมผัสอะฟลาท็อกซินด้วยการสูดเอาอากาศที่ปนเปื้อนอะฟลาท็อกซินยังเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งปอดด้วย มีในรายงาน Relationship between Lung Cancer and AflatoxinB1 โดย Georggiett OC และคณะใน Rev Fac Cien Med Uniy Nac, Cordoba 2000; 57(1):95-107 และรายงานของ I. Dvorackova และคณะเรื่อง Evidence for AflatoxinB1 in two cases of lung cancer in man ใน Journal of Cancer Research and Clinical Oncology, June 1981, V.100, Iss 2, pp 221-224.
ถ้าอย่างนั้นสำหรับคณะกรรมการที่เข้าไปตรวจสอบโกดังข้าวเสื่อมข้าวเน่าในขณะนี้ควรจะป้องกันตัวเองอย่างไร? บอกตรงๆ ว่า ลำพังผ้าปิดปากอย่างธรรมดาสามัญที่ใช้กันอยู่ป้องกันสารพิษเข้าสู่ทางเดินหายใจไม่ได้หรอกครับ ในทางการแพทย์ควรใช้หน้ากากชนิด N95 ซึ่งจะสามารถป้องกันตั้งแต่แบคทีเรีย ไวรัส จนถึงฝุ่นละอองอันปนเปื้อนสารเคมีต่างๆจึงจะได้ผลครับ
ใครก็ได้ ช่วยที!! ช่วยบอกคสช.ด้วยว่า กรุณาจัดหน้ากาก N95 ให้กับคณะกรรมการท่านเหล่านี้ด้วยเถอะครับ เพราะพวกท่านทำงานเพื่อประเทศชาติแล้ว ก็สมควรจะดูแลสุขภาพของพวกท่านให้ดีที่สุด