นักวิชาการเสนอตั้งกองทุน EIA กันฮั้วผ่านรายงานผลกระทบสวล.
อนุกรรมการสิทธิชุมชน กสม.เผยเรื่องร้องเรียนของชาวบ้าน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการจัดทำรายงาน EIA ที่ไม่ได้ทำจริง และเป็นข้อมูลเท็จ ใช้ข้อมูลเก่า ไม่ได้ลงไปถามชาวบ้านจริง จี้คสช.ปฏิรูป กำหนด สิทธิชุมชนในธรรมนูญชั่วคราวด้วย
|
วันที่ 3 กรกฎาคม เครือข่ายนักวิชาการการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ (EIA/EHIA) จัดเวทีเสวนา "ผ่าตัด อีไอเอ ลดความแตกแยก สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" ณ ห้องประชุม 202 (พระยาสุนทร) คระรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีตัวแทนชาวจากจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของประเทศ ร่วมรับฟัง
นางสาวสมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยสมทบ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กระบวนการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ไม่ใช่กระบวนการหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ หรือแค่นำกระบวนการทางสังคมมาสนับสนุน สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมแค่พิธีกรรม แต่การประเมินผลกระทบ คือกระบวนการทางสังคม แล้วใช้ข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน เพื่อให้ได้ข้อมูลหลักฐานที่รอบคอบ รอบด้าน และนำไปสู่การตัดสินใจเลือกตัวนโยบายการพัฒนาที่เป็นผลดีต่อสุขภาวะมากที่สุด นำสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยไม่มีความขัดแย้ง
นางสาวสมพร ได้ยกตัวอย่าง โครงการโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน ที่ถือเป็นโครงการแรกของประเทศไทยที่การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนทำขึ้นมา ได้ถูกพิจารณาคู่กับบริษัทที่ปรึกษา แม้บริษัทที่ปรึกษาพยายามจะแก้รายงานผลกระทบฯ ก็สู้ของชุมชนไม่ได้ จนรายงาน EIA ไม่ผ่าน
ขณะที่นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณนิเวศ กล่าวถึงกรณีเหมืองทอง ที่จ.เลย หรือที่พิจิตร ใครสามารถบอกชาวบ้านได้หรือไม่ว่า มีสารพิษอะไรที่ใช้ในกระบวนการผลิต หรือสารไซยาไนต์ (cyanide) ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต ในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละ ปี ที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม เป็นปริมาณกี่ตัน สารพิษแต่ละตัวอันตรายต่อร่างกายเราอย่างไร
“สิ่งเหล่านี้ต้องบอกไว้ใน EIA แต่ที่พบกลับบอกบางตัว และเลือกไม่บอกบางตัว ถามว่าใครสามารถตรวจสอบได้ ยิ่งชาวบ้านไม่เข้าใจเลย จึงจำเป็นต้องทำให้ชาวบ้านเข้าใจ มีที่พึ่ง โดยมีที่ปรึกษา มีนักวิชาการเข้ามาเป็นพี่เลี้ยง”
ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณนิเวศ กล่าวว่า กระบวนการ EIA ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่า ข้อเท็จจริงอะไรบ้างที่หายไป และมีผลกระทบรุนแรงต่อธรรมชาติ ซึ่ง EIA เป็นช่วงต้นๆ ของการพิจารณาหรืออนุมัติโครงการ โดยเป็นใบเบิกทางให้โครงการสามารถลงทุนและเดินหน้าไปได้
“การปฏิรูประบบ EIA หรือ กระบวนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการ (Environment and Health Impact Assessment :EHIA) ในปัจจุบันต้องมีการปฏิรูปทั้ง 2 ระบบ”
รศ.ดร.สมิทร์ ตุงคะสมิต วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต วิศวกร และอดีตผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและโรงบำบัดน้ำเสีย กล่าวถึงการจัดตั้งกองทุนการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA/EHIA Fund) ต้องตั้งขึ้นมา โดยให้ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่จะลงทุน นำเงินมาลงก่อน เช่น 3% หรือ 5% ไม่ว่ารายงานผลกระทบจะผ่านหรือไม่ แล้วคนที่ทำรายงานต้องติดต่อกองทุน เพื่อกันการฮั้วกัน มิเช่นนั้นทำไป EIA เป็นแค่ตรายางประทับให้แต่ละโครงการเดินหน้าไปได้ ไม่ได้สะท้อนผลการศึกษาที่แท้จริง
ขณะที่ดร.อาภา หวังเกียรติ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และอนุกรรมการสิทธิชุมชน ในกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงสิ่งที่ชาวบ้านร้องเรียนกว่า 300 – 400 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการจัดทำรายงาน EIA ที่ไม่ได้ทำจริง และเป็นข้อมูลเท็จทั้งนั้น เช่น กรณีโรงไฟฟ้าบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชาวบ้านมีแหล่งปะการังที่ดี แต่นักวิชาการ EIA เขียนว่า เป็นหินโสโครก กระทั่งเป็นที่มาของการเพิกถอนใบอนุญาตชั่วคราวของบริษัทที่รับจ้างทำ EIA หรือกรณีเชฟรอน กับโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมปากบารา มีชุมชนชาวประมงที่อาศัยทะเลตรงท่าศาลาประกอบอาชีพเป็นพันครัวเรือน แต่ในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม กลับรายงานมีเรือประมงแค่ 10-20 ลำ เป็นต้น
“ส่วนใหญ่การทำงานของบริษัททำรายงาน EIA จะใช้ข้อมูลมือ 2 ข้อมูลทุติยภูมิ ไม่ได้ทำงานจริงหรือลงไปถามชาวบ้าน กรณีเช่นนี้เจอเยอะ รวมถึงนำรายงาน EIA เก่าหลายปีมาใช้ใหม่”ดร.อาภา กล่าว และว่า ดังนั้น การปฏิรูป EIA ต้องทำแบบสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้ครบวงจร
ในระยะสั้นดร.อาภา กล่าวด้วยว่า ในธรรมนูญชั่วคราว ที่คณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) ร่างขึ้นมานั้น ควรระบุสิทธิของชุมชนเอาไว้ด้วย มีมาตรฐานไม่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 และ2550 รวมถึงปฏิรูปกฎหมายทั้งหมดที่ล้าหลัง เช่น พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรงงานอุตสาหกรรม 2535 พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535