ย้อนรอยแผลเก่าไทยแลนด์ก๊อตฯ ก่อนดังเป็นพลุแตก ?
ออกอากาศไปไม่กี่สัปดาห์สำหรับรายการไทยแลนด์ก๊อตทาเลนท์ ซีซั่น 4 เกมเรียลลิตี้โชว์คัดเลือกผู้มีความสามารถโดดเด่นที่สุด โดยไม่จำกัดเพศ อายุ หรือฐานะ ภายใต้คอนเซปต์ ‘แค่กล้า ก็ชนะแล้ว’ กลับมาได้รับความนิยมจากผู้ชมทางบ้านอีกครั้ง
ไทยแลนด์ก๊อตฯ ถูกซื้อลิขสิทธิ์มาจากประเทศอังกฤษผ่านบริษัท ยูนิลีเวอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และให้บริษัท เวิร์คพ้อยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตรายการ ซึ่งจัดมาแล้วทั้งสิ้น 3 ซีซั่น มีผู้ชนะเลิศในแต่ละปีเต็มเปี่ยมด้วยความสามารถ โดยซีซั่น 1 ไมร่า มณีภัสสร มอลลอย (ร้องเพลง) ซีซั่น 2 เล้ง ราชนิกร แก้วดี (กายกรรมปีนผ้า) และซีซั่น 3 ชาย สมชาย นิลศรี (ร้องเพลง)
กระทั่งซีซั่นปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการ ด้วยการเพิ่มคณะกรรมการเป็น 4 คน จากเดิม 3 คน ได้แก่ เบนซ์ พรชิตา กาละแมร์ พัชรศรี เบน ชลาทิศ และดี้ นิติพงษ์ โดยมีผู้ดำเนินรายการฝีปากกล้าจอมทะเล้น ‘น้าเน็ก’ เกตุเสพย์สวัสดิ์ รับหน้าที่เช่นเดิม
ซึ่งขอบอกว่ารายการนี้คิดถูกที่ตัดสินใจเลือก ‘กาละแมร์’ มาเป็นส่วนหนึ่งในผู้ชี้ชะตา เพราะหากไม่มีหล่อนคงกร่อยน่าดู เพราะสามารถรับลูกกับทุก ๆ คนในรายการได้อย่างไม่ติดขัด แม้จะมีบางช่วงดูโกหกไปบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่น่าเกลียดจนเกินงามนัก ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกรรมการอีก 3 ท่านที่นั่งเคียงข้าง ยอมรับว่าหล่อนสอบผ่านเกรด A+
สำหรับเนื้อหาการแสดงโชว์ของผู้เข้าแข่งขันในรายการ เมื่อมาพินิจก็แอบลุ้นว่าปีนี้จะเกิดรอยแผลใหม่หรือไม่ ด้วย 3 ซีซั่นที่ผ่านมา ฉาวโฉ่ให้เป็นที่โจษจันไปทั่วทุกคุ้งน้ำของประเทศอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นแผลที่แม้จะเย็บติด แต่ก็ยังมีรอยให้สะกิดเปิดขึ้นมาใหม่ทุกเวลา
ย้อนกลับไปซีซั่น 1 ทันทีที่ชื่อสาวน้อยวัยใส ‘ไมร่า มณีภัสสร’ ถูกประกาศชื่อเป็นผู้คว้าชัยในรายการ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมเกิดขึ้นทันทีแบบไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จำได้ว่าขณะนั้นน้องสาวผู้นี้ได้โชว์ความสามารถขับร้องเพลงโอเปร่าได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งชนิดหาตัวจับยาก แต่กลับไม่ถูกจริตคนไทยที่ชื่นชอบเรื่องราวเคล้าน้ำตา ในขณะที่การร้องเพลงที่นำไปสู่ชัยชนะนั้นมิใช่ความสามารถที่คู่ควรกับเวทีนี้
จนเเล้วจนรอดแม้ ‘ลาภ’ จะกลายเป็น ‘ทุกขลาภ’ ไมร่าก็ยังครองตำแหน่งชนะเลิศ โดยไม่ต้องประกาศสละตำแหน่งเหมือนบางเวที แม้สุดท้ายเรื่องราวของหล่อนจะค่อย ๆ จางหายไปจากความรู้สึกผู้ชมชาวไทยก็ตาม
ซีซั่น 2 กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ เพียงไม่กี่ชั่วโมง เมื่อรายการปล่อยเทปการแสดงโชว์งานศิลปะด้วยเรือนกาย โดยปอนด์ ดวงใจ จันทร์เสือน้อย ถอดเสื้อผ้าใช้หน้าอกหน้าใจละเลงสีของผืนผ้า จนทำให้หนึ่งในคณะกรรมการ ‘เบนซ์ พรชิตา’ ตัดสินใจไม่ให้ผ่าน และลุกขึ้นเดินออกไปทันที ค้านเสียง 2 กรรมการที่มองว่าเป็น ‘ศิลปะ’ จนถูกสับในโลกสังคมออนไลน์แบบไม่เหลือชิ้นดี
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สั่งปรับช่อง 3 ขั้นสูงสุดเป็นเงิน 500,000 บาท ไปตามระเบียบ โทษฐานนำเสนอรายการเข้าข่ายลามกอนาจาร มาตรา 37 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ.2551
ซีซั่น 3 กรณี ‘สิทธัตถะ เอมเมอรัล’ ที่มีพฤติกรรมต่อคณะกรรมการตัดสินไม่เหมาะสม ทำให้คณะกรรมการ ผู้ดำเนินรายการ และผู้เข้าชมการบันทึกเทปโทรทัศน์ แสดงพฤติกรรมต่อต้าน หัวเราะเยาะ เสมือนไม่ยอมรับในตัวเขาผู้นี้ จนหลายฝ่ายออกมาติติง
สุดท้าย กสทช.ได้ลงดาบช่อง 3 ปรับเป็นเงินขั้นสูงสุด 500,000 บาท โทษฐานมีเนื้อหารายการที่ทำลายหรือเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เข้าข่ายเป็นเนื้อหาที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน มาตรา 37 พ.ร.บ. ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ.2551
ทั้งหมดนี้คือรอยแผลใหญ่บาดลึกในอดีตที่ยากจะลืมเลือน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าไทยแลนด์ก๊อตฯ ซีซั่น 4 คงไม่เกิดเรื่องราวในแง่ไม่ดีเช่นนี้อีก มิเช่นนั้น อาจจะไปสะกิดรอยแผลเดิมให้เจ็บช้ำขึ้นมาได้ และเมื่อถึงเวลานั้นต่อให้เวิร์คพ้อยท์ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่โตก็คงไม่อยากรับฟังอีกแล้ว
เพราะ ‘แผลเก่า’ ยากที่จะ ‘ลบรอย’ .
ภาพประกอบ:เว็บไซต์เอ็มไทย