ชาวนาอยุธยาอ่วมแบกหนี้เฉลี่ยกว่า 4 แสน-เช่าที่ดินทำกินมากสุด
ผอ.กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน ชี้เกษตรกร 45-85 % เช่าที่ทำนาสูงถึงไร่ละ 1,500-2,500 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต อยุธยา มากสุดถึง 72% ยันแก้ปัญหาหนี้สิน ต้องเริ่มที่ลดต้นทุนการผลิต
เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน หรือโลโคลแอค เปิดเผยผลการศึกษา ภาวะหนี้สินที่ส่งผลต่อการสูญเสียที่ดินของชาวนาภาคกลาง โดยพบว่า ในพื้นที่ภาคกลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดเพชรบุรี ชาวนาอายุเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 65 ปี ในชุมชนมีภาวะสุ่มเสี่ยงขาดการสืบทอดอาชีพชาวนา ระบบเกษตรกรรมกำลังเผชิญกับความถดถอยที่ลูกหลานเกษตรกรปรับเข้าสู่ระบบแรงงานรับจ้างมากกว่าสร้างการผลิตของตนเอง
สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ชาวนามีหนี้สินมากขึ้น พบว่า เกิดจากแรงกดดันจากการถือครองที่ดิน ปัญหาหนี้สินชาวนากลายมาเป็นนโยบายหาเสียงของรัฐบาล แต่จากการศึกษาพบว่า ชาวนามีข้อสรุปว่า โครงการช่วยเหลือของรัฐไม่สามารถนำสู่การแก้ไขปัญหาได้ โดยเฉพาะปัญหาจากสถาบันการเงิน แหล่งเงินกู้ของเกษตรกร
นางสาวพงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ ผอ.กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน กล่าวถึงปัจจัยสำคัญของภาวะหนี้สินคือแรงกดดันจากการถือครองที่ดินของเกษตรกรและต้นทุนการผลิตที่สูง เพราะเกษตรกร 45-85 % ต้องเช่าพื้นที่ทำนาและต้องจ่ายค่าเช่าสูงถึงไร่ละ 1,500-2,500 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต คิดเป็นสัดส่วนถึง 20-25% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด
ในขณะที่ต้นทุนการผลิตรวมทั้งเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี มีสัดส่วนรวมกันถึง 30-45% ของต้นทุนการผลิต รวมไปถึงการกว้านซื้อที่ดินแปลงใหญ่ของนายทุนในพื้นที่ภาคกลาง ที่ทำให้เกิดการกระจุกตัวของที่ดินและมีชาวนาไร้ที่ดินเพิ่มมากขึ้น
จากการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี2554 พบว่า มีเกษตรกรที่เช่าที่ดินผู้อื่น 19.6% ของพื้นที่เกษตรทั้งหมด 149.25 ล้านไร่ ซึ่งพบในภาคกลางสูงที่สุดประมาณ 36-40% ของพื้นที่ และพบสูงที่สุดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีการเช่าที่ดินมากถึง 72% ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน ที่พบว่า มีเกษตรกรนาเช่าในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปี 2555 สูงถึง 85 %
นอกจากปัญหาการสูญเสียที่ดินแล้ว นางสาวพงษ์ทิพย์ กล่าวอีกว่า ชาวนาส่วนใหญ่ยังมีสัดส่วนหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น รายได้จากการทำนาไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต โดยสถานะหนี้สินชาวนาปัจจุบันจากข้อมูลตัวเลขหนี้สินของเกษตรกร (รวมถึงชาวนา) ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2554/55 ชี้ให้เห็นว่า ครัวเรือนภาคการเกษตรทั้งหมดมีหนี้สินเพิ่มขึ้นจาก 204,117 ล้านบาท ในปี 2542 เป็น 456,339 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาของกลุ่มโลโคลแอค ที่พบว่า ชาวนาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีหนี้สินเฉลี่ยถึง 401,679 บาทต่อครอบครัว และชาวนาในจังหวัดเพชรบุรี มีหนี้สินเฉลี่ยถึง 371,091 บาทต่อครอบครัว
ทางด้าน นางบุญชู มณีวงษ์ ชาวนาวัย 56 ปี จากอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องเป็นหนี้ เนื่องจากตัดสินใจกู้เงินจากธนาคารกสิกรไทย 600,000 บาทเมื่อปี 2539 เพื่อนำเงินมาลงทุนทำนา ส่งลูกเรียนและทำอู่ซ่อมรถ ถูกธนาคารยื่นฟ้องให้ชดใช้หนี้เมื่อปี 2545 ก่อนหน้านั้นได้แบ่งขายที่นาไป 5 ไร่ ได้เงินมา 500,000 บาท เอาไปโปะหนี้ให้ธนาคาร แต่พบว่าเป็นเงินต้นแค่ 100,000 กว่าบาท ที่เหลือเป็นดอกเบี้ยทั้งหมด อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.5 เป็นร้อยละ 18 ไม่นับรวมค่าปรับ สุดท้ายต้องขายที่นาส่วนที่เหลืออีก 5 ไร่ แล้วก็ต้องเช่าที่นาตัวเองทำนาแทน
"สาเหตุที่ทำให้สูญเสียที่นา เพราะภาระหนี้ที่แบกรับไม่ไหว รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่สูง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายการศึกษาของลูก และเงินลงทุนทำนา"
ด้านนายทรงชัย วิสุทธิวินิกานนท์ กลุ่มฟื้นฟูเกษตรกรเมืองเพชรบุรี สภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย(สค.ปท.) กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรว่า ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือลดต้นทุนการผลิต ด้วยการสนับสนุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพที่ผลิตเอง การควบคุมโรคและแมลงด้วยวิธีธรรมชาติ หรือการเข้าถึงแหล่งปุ๋ยอินทรีย์ การทำนาแบบลดต้นทุนการผลิตควรอยู่บนพื้นฐานการพึ่งตนเอง และเพิ่มความหลากหลายของพืชและอาหารในแปลงนาเป็นสำคัญ
สำหรับนโยบายประกันราคาผลผลิต นายทรงชัย กล่าวด้วยว่า เป็นสิ่งที่เกษตรกรต้องการ เพราะรัฐก็ยังสามารถขายข้าวได้ตามกลไกราคาตลาด ส่วนปีใด หากเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกษตรกรยังได้รับการคุ้มครองผลกระทบภัยพิบัติจากราคาประกัน
"กรณีผู้ที่ประสบปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน ต้องมีกองทุนซื้อที่ดินในราคาที่เป็นธรรมและให้เกษตรกรทำสัญญาเช่า-ซื้อระยะยาวผ่อนชำระได้ตามความสามารถโดยที่ดินนี้ต้องไม่ให้ขายแต่สืบทอดในการทำกินได้"