คำพิพากษาฉบับเต็ม!ตัดสิทธิ์การเมือง5ปี “ธันว์” อดีต ส.ว.ซุกทรัพย์สิน
“…พิพากษาว่า นายธันว์ ออสุวรรณ จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ ต่อผู้ร้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี และจงใจการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ตามพ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33…”
หมายเหตุ : คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2557 ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี นายธันว์ ออสุวรรณ ส.ว.ประจวบคีรีขันธ์ กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ร้อง ชี้มูลความผิดนายธันว์ ออสุวรรณ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้คัดค้าน กรณีไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ สมัยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ประจวบคีรีขันธ์
----
ผู้คัดค้านให้รับการสารภาพ และศาลฎีกาฯได้สอบทั้งผู้คัดค้าน และผู้ร้องแล้วเห็นว่า คดีนี้วินิจฉัยได้เลย ไม่จำเป็นต้องมาไต่สวนต่อไป
ศาลพิเคราะห์เอกสารคำร้อง และคำให้การของผู้คัดค้านแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกอบจ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นองค์กรส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ในปีงบประมาณ 2546 จำนวน 290,027,438 ล้านบาท ผู้คัดค้านจึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน และคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อผู้ร้องภายใน 30 วันนับจากวันเข้ารับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ประกอบฯ 2542) มาตรา 32 และมาตรา 33
และประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องกำหนดเกณฑ์รายได้ขององค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2543
ผู้คัดค้านเข้ารับตำแหน่งวันที่ 9 เมษายน 2547 และพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากลาออกในวันที่ 18 มกราคม 2551 ผู้คัดค้านยื่นบัญชีรายการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องในกรณีเข้ารับตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2547 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 และวันที่ 11 เมษายน 2552 ตามลำดับ
จากกรณีเข้ารับตำแหน่งไม่แสดงสำเนารายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และไม่แสดงรายการทรัพย์สินที่ดิน 21 แปลง มูลค่า 201,112,297 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 4 หลังรวมมูลค่า 4,560,009 บาท
กรณีพ้นจากตำแหน่ง ไม่ยื่นตามเวลาที่กฎหมายกำหนด ใช้แบบบัญชีรายการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินไม่ถูกต้อง ตามแบบที่ผู้ร้องประกาศกำหนด ไม่แนบสำเนารายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ยื่นรายการประกอบทรัพย์สินได้แก่ เงินฝาก 3 บัญชี ที่ดิน 22 แปลง โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1 หลัง ยานพาหนะ 1 คัน สิทธิและสัมปทานมูลค่า 2 ล้านบาท และเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่นจำนวน 42 ล้านบาท
และไม่แสดงรายการทรัพย์สิน ได้แก่ที่ดิน 45 แปลง มูลค่า 358,539,798 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3 หลัง มูลค่า 13,060,009 บาท
กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ไม่ยื่นตามเวลาที่กฎหมายกำหนด ใช้แบบบัญชีรายการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินไม่ถูกต้องตามแบบที่ผู้ร้องประกาศกำหนด ไม่แนบสำเนารายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ยื่นรายการประกอบทรัพย์สินได้แก่ เงินฝาก 2 บัญชี ที่ดิน 30 แปลง ยานพาหนะ 2 คัน สิทธิและสัมปทานมูลค่า 500,000 บาท
และไม่แสดงรายการทรัพย์สิน ได้แก่ ที่ดิน 35 แปลง มูลค่า 227,312,598 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 4 หลัง มูลค่า 4,560,009 บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ ผู้คัดค้านจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ ต่อผู้ร้องภายในระยะเวลากฎหมายกำหนด กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี และจงใจยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี หรือไม่
เห็นว่า เมื่อผู้คัดค้านไม่ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ ต่อผู้ร้อง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด เมื่อผู้คัดค้านยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง ปรากฏว่า บัญชีที่ยื่นแสดงไว้ทั้ง 3 กรณี ไม่ได้ยื่นเอกสารให้ครบถ้วนถูกต้อง และมีทรัพย์สินหลายรายการของผู้คัดค้านไม่ได้แสดงไว้ในบัญชี
ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้คัดค้านชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเหตุผล และดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง 5 ครั้ง ผู้คัดค้านเคยติดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ร้องเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงที่ต้องชี้แจง แต่ปรากฏว่า ผู้คัดค้านยังคงเพิกเฉยไม่ชี้แจงเหตุผล และไม่ยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้ถูกต้อง
คณะผู้พิพากษาจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้คัดค้านจงใจไม่ยื่นแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อผู้ร้องภายในเวลาที่กำหนด กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี และจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีเข้ารับตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี
เมื่อผู้คัดค้านจงใจได้กระทำการดังกล่าว จึงต้องห้ามไม่ให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งตามพ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มาตรา 35 วรรค 2
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยปัญหาสุดท้ายคือ ความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มาตรา 119 ขาดอายุความหรือไม่
เห็นว่า ความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มาตรา 119 ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งพ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มิได้บัญญัติอายุความไว้ จึงต้องนำบทบัญญัติของกฎหมายอาญามาใช้บังคับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 17 เช่นนี้ พ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มาตรา 119 จึงมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 55 (4)
และข้อเท็จจริงได้ความว่า ครบกำหนดที่ผู้คัดค้านต้องมายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี คือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552 อายุความจึงเริ่มนับถัดจากวันดังกล่าว ซึ่งเป็นวันกระทำความผิด ครบกำหนดอายุความ 5 ปี ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557
ส่วนกรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ต้องแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ผู้คัดค้านยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 อายุความจึงเริ่มนับถัดจากวันดังกล่าว ซึ่งเป็นวันกระทำความผิด ครบกำหนดอายุความ 5 ปี ในวันที่ 11 เมษายน 2557
แม้คดีนี้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องต่อศาลในวันที่ 31 มกราคม 2557 อันเป็นการฟ้องเองตามในอายุความ 5 ปี ตั้งแต่ผู้คัดค้านกระทำความผิดที่ไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ ต่อผู้ร้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี และจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี แต่เป็นการฟ้องตามพ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มาตรา 42 (4) และข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาฯ พ.ศ.2543 ข้อ 3 วรรค 2
โดยผู้ร้องต้องนำตัวผู้คัดค้านมาส่งศาลตามคำฟ้อง แต่ข้อกำหนดดังกล่าว ของการพิจารณาว่าคดีของผู้ร้องขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (4) หรือไม่ เป็นคนละกรณีกัน
ศาลพิจารณาแล้วว่า คดีของผู้ร้องขาดอายุความหรือไม่ ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55 วรรคแรก คือต้องนำตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายในกำหนดเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55 (4)
เช่นนี้การที่ผู้คัดค้านมายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ ต่อผู้ร้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด และการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี
องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ให้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่ผู้คัดค้านกระทำความผิด แต่เมื่อผู้คัดค้านเพิ่งมาศาลวันที่ 13 มิถุนายน 2557 นับตั้งแต่วันกระทำผิดเลยระยะเวลา 5 ปีแล้ว คดีย่อมขาดอายุความ สิทธิของคดีอาญาที่นำมาฟ้องให้นับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) ประกอบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 18 วรรค 2
พิพากษาว่า นายธันว์ ออสุวรรณ จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ ต่อผู้ร้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี และจงใจการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ตามพ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33
ห้ามมิให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่ 18 มกราคม 2551 อันเป็นวันที่พ้นจากตำแหน่งสมาชิกอบจ.ประจวบคีรีขันธ์ ตามพ.ร.บ.ประกอบฯ 2542 มาตรา 34 วรรค 2 ส่วนคำขออื่นให้ยก