เสียงจากคนฐานล่างหลังรัฐประหาร ในมุมมองครูสน รูปสูง
“วันนี้คุณต้องฟังประชาชน ฟังเสียงคนข้างล่าง” คำกล่าวของครูสน รูปสูง ในฐานะแกนนำสภาองค์กรชุมชนตำบลท่านางแนว อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น ให้สัมภาษณ์ บอกเล่ามุมมอง และความคิดต่อบทบาทของสภาองค์กรชุมชน ภายหลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร
ภายใต้สถานการณ์การยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือเรียกย่อๆว่า คสช. ที่บอกว่าทำเพื่อไม่ให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะวิกฤตจราจล เกิดการใช้ความรุนแรงต่อกัน ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็คิดว่าดีที่มาทำให้บ้านเมืองสงบ ถ้า คสช.ทำได้จริงดังที่ว่า ชาวบ้านอีกบางส่วนก็ว่าทหารควรถอยออกไป
ส่วนประเด็นปฏิรูปแน่นอนว่าชาวบ้านเห็นด้วยที่จะให้มีการปฏิรูปเกิดขึ้น ซึ่ง คสช.จะมีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูป ซึ่งสภาองค์กรชุมชนยังรอดูท่าทีจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หากแต่ชาวบ้านบางส่วนยังรอดูว่า จะยอมรับฟังพวกเขาหรือไม่ ยังเป็นข้อกังขาที่ถามกันจนทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ที่ไม่เชื่อเพราะบทเรียนจากอดีตที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้ปกครองทำนั้นไม่ได้ทำเพื่อพวกเขา แต่ทำเพื่อประโยชน์ของผู้ปกครองทั้งหลายเสียเอง
แกนนำ ในสถาพการณ์เช่นนี้เราหนีไม่พ้นและมันมาถึงแล้วว่าต้องปฏิรูปประเทศ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาปฏิรูปก็จะจัดการเรา ชาวบ้านเลยคุยกันว่าจะต้องสร้างกระบวนการให้ประชาชนตื่นรู้ ให้เขาลุกขึ้นเปลี่ยนเองให้ได้จึงคิดต่อว่า ถึงแม้ว่า ถ้า คสช.จะจัดตั้งสภาปฏิรูปขึ้นมา ถ้าพี่น้องประชาชนต้องการให้ปัญหาของตนเองได้รับการแก้ไข สภาองค์กรชุมชนตำบลต้องปรับบทบาทหันมาศึกษาทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระจายรายได้ เรื่องที่ดิน ภาษีอัตราก้าวหน้า พลังงาน หรืออื่นๆ ที่เราพูดกันมานานมากแล้ว
“ชาวบ้านต้องร่วมกันคิดผลักดันเนื้อหาการปฏิรูปด้านต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา เป็นกระบวนการที่ต้องบรรจุเนื้อหาที่ชาวบ้านต้องการเข้าสู่สภาปฏิรูปให้ได้ ความคิดของชาวบ้าน ณ วันนี้ก็อยู่ตรงจุดนี้ และรอดูสถานการณ์ต่อไปว่า เมื่อไหร่จะมีรัฐบาลกลาง เมื่อไหร่จะมีสภานิติบัญญัติ และเมื่อไหร่จะมีสภาปฏิรูป”
ชาวบ้านเขาวิเคราะห์กันว่า ถ้าอยู่อย่างนี้นานไปจะสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นมา แต่ถ้าไม่นานเกินไป และมีกลไกทั้ง 3 สิ่งขึ้นมาเพื่อมาแก้ไขปัญหาสังคม ก็จะผ่อนคลายจากภาวะการณ์ที่ตึงเครียด ที่สำคัญการปฏิรูปต่อไปนี้จะละเลยคนข้างล่างไม่ได้ เขาไม่ได้สนใจสภานิติบัญญัติ หรือว่าใครจะมาดำรงตำแหน่งใดๆ เรื่องนี้ให้ คสช.ว่ากันไปเอง
“เรื่องการปฏิรูป จะละเลยข้างล่างไม่ได้ มันจะไม่สำเร็จ และจะเกิดวิกฤติระลอกต่อไปขึ้นอีก แต่ถ้าทำตรงนี้ดี ฟังข้างล่าง ไอ้เรื่องสีเสื้อต่างๆที่เป็นขั้วทางการเมืองที่เป็นปัญหาอยู่มันก็จะค่อยๆ คลายตัวลง และสามารถนำไปสู่ความเป็นเอกภาพของสังคมได้ในที่สุด”
ประเทศไทย แม้จะมีความขัดแย้งรุนแรงปานใด ถ้าเป็นสังคมอื่นน่าจะมีการซัดกันไปแล้ว เกิดเสียงปืนแตกไปนานแล้ว อาจเพราะเราเป็นเมืองพุทธโอกาสที่จะหักกันเรามองว่า ไม่ใช่ทางออก ข้างล่างที่แตกตัวกันฝั่งเหลืองไม่เอาคอรัปชั่น ฝั่งเสือแดงโดยลึกๆ ก็ไม่ต่างกัน เขาหวังว่าผู้ปกครองจะให้ความเป็นธรรมแก่เขา เห็นหัวพวกเขา และทำให้เขาอยู่เย็นเป็นสุข
“ส่วนที่ว่ากฏหมายดีๆ จะมีโอกาสเกิดขึ้นในยุครัฐประหารได้ไหม เพราะถ้าเป็นยุคสภาผู้แทนฯที่มาจากการเลือกตั้ง ๆไม่ฟังประชาชนเลย แต่ในยุคเผด็จการ พอประชาชนเสนอกฏหมาย ก็เลยมีการตอบสนอง นับเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะผลักดันกฏหมายหลายๆ ฉบับให้เป็นจริง”
ในช่วงที่ ประเทศอยู่ในภาวะไม่ปกติเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาที่เราต้องลุกขึ้นมาแล้ว สภาองค์กรชุมชน 4 พันกว่าแห่ง ต้องรวมตัวกันเป็นเครือข่าย และช่วยกันตะโกนขึ้นมาว่าแต่ละเรื่องแต่ละประเด็นจะทำเช่นใด พวกเราได้ศึกษาเรียนรู้ เสนอทางออกแต่ละเรื่องไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เดินขบวนปิดล้อมสภาก็ทำมามากแล้ว
จากสิ่งที่สะสมมาประชาชนพร้อมแล้วที่จะทำ เพราะเขาเรียนรู้จากตัวเอง กฏหมายดีๆไม่ได้เกิดจากผู้ปกครอง แต่เกิดจากประชาชน ไม่ว่าเรื่องพลังงาน เรื่องที่ดิน ภาษีอัตราก้าวหน้า และอื่นๆ เป็นสิ่งที่เกิดจากข้างล่างทั้งหมดเลย
แต่ขอยืนหยัดว่าประชาชนต้องยืนให้มั่น เราไม่ตำหนิว่าคุณเป็นใคร แต่วันนี้คุณต้องฟังประชาชน ฟังเสียงคนข้างล่าง เพราะทุกวันนี้ประชาชนไม่เหมือนกับเมื่ออดีตที่ผ่านมา มีพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว วันนี้ไม่มีทางออกอื่น นอกจากจะต้องปฏิรูป ออกแบบสังคมใหม่ กติกาใหม่ให้สอดคล้องกับข้างล่างที่เขาเรียกร้อง 80 กว่าปีมาแล้ว
ส่วนเราต้องเร่งสร้างเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนให้เป็นจริง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เราไม่ต้องการเอาชนะสีเหลือง เราไม่ต้องการเอาชนะสีแดง ถ้าปฏิรูปเพื่อเอาชนะนี่ไม่จบ เราต้องคิดว่าต้องการเปลี่ยนประเทศเพื่อเอาชนะความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาทั้งทั้งปวงของเราได้ ประเทศชาติจะได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ อย่านอนหลับอยู่เฉย ปลุกให้ตื่นรู้ และลุกขึ้นมามีส่วนร่วมในการปฏิรูป
เราผลักดันเรื่องกระจายอำนาจ การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ เพื่อให้อำนาจในการปกครองไปถึงมือประชาชน ซึ่งเราเรียกว่า “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งมีการขยับในหลายจังหวัด ณ ขณะนี้สภาองค์กรชุมชนหลายแห่งเริ่มตระหนัก เริ่มสนใจ และตื่นรู้ที่จะเข้ามามีบทบาทในการเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศต่อไป
ครูสน รูปสูง ในฐานะแกนนำสภาองค์กรชุมชนตำบลท่านางแนว อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น สมัยอดีตครูสน เป็นครูประชาบาลมาก่อน ภายหลังออกจากป่า ครูสน ก็มุ่งมั่นทำงานเพื่อชุมชนอย่างจริงจัง เป็นเกษตรกร เป็นนักพัฒนาเพื่อชุมชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มายาวนาน แม้วันเปลี่ยนเวลาผ่านความใฝ่ฝันของครูสน นักสู้จากที่ราบสูงยังมั่นคง “การเปลี่ยนแปลงประเทศผมเชื่อว่าประชาธิปไตยชุมชนจะไปกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัว แล้วประชาชนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ผมอยากเห็นชาวบ้านลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนการแบมือขอ เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก นี่คือสิ่งที่ผมหวัง”