“บิ๊กตู่” เผยตั้งรบ.-ครม.ก่อน 1 ต.ค.นี้ ยันประเทศมาก่อนประชาธิปไตย
“ประยุทธ์” เผยขอบเขตอำนาจ คสช. ต้องรักษาความสงบเรียบร้อย ให้คนรายงานตัวเพื่อสร้างความสมาฉันท์ ปราบกลุ่มรุนแรงเด็ดขาด ขับเคลื่อนบริหารประเทศด้วยระบบราชการ ยันเบิกจ่ายงบโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตั้งรบ.-ครม.ก่อนงบปี ’58 1 ต.ค. 2557 แจงปิดสื่อเพื่อลดความขัดแย้ง ระบุประเทศชาติต้องมาก่อนประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทีวีพูล) ระบุถึงความคืบหน้าในการบริหารประเทศของ คสช.
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า คสช.มีขอบเขตอำนาจอยู่ 2 ประการ คือ 1.การรักษาความสงบเรียบร้อยทั่วราชอาณาจักร และการประกาศใช้กฎอัยการศึกยามจำเป็น ถือเป็นกฎหมายความมั่นคงสูงที่สุด และให้อำนาจเจ้าหน้าที่ยุติเหตุรุนแรงได้อย่างทันที เพราะที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมายปกติไม่สามารถยุติความรุนแรงได้เลย ทั้งนี้เพื่อให้ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ให้ประชาชนเรียนรู้และเคารพกฎหมาย เพื่อลดความขัดแย้งในอนาคต และทั้งหมดยึดตามหลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน
“อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างจำเป็น และไม่ให้เกินขอบเขต เพื่อให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด และหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิมนุษยชน หากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ จะบังคับใช้กฎหมายปกติให้เร็วที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การเชิญบุคคลมารายงานตัวมีความจำเป็น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ยุแหย่ให้เกิดความขัดแย้งทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งหมายถึง แกนนำ นักวิชาการ และกลุ่มผู้สนับสนุน อาจเป็นผู้ขัดแย้งทั้งทางตรง และทางอ้อมที่อาจเกิดขึ้นได้ และบุคคลที่มีอิทธิพลในเชิงสัญลักษณ์ ระดมมวลชนสร้างความขัดแย้งอีก หากการแสดงออกดังกล่าวมีผลกระทบต่อความสงบโดยรวม ก็อาจมีการจับแยกผู้ที่ถูกเรียกรายงานตัวให้สงบสติ และทบทวนที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง อาจมีถูกบ้าง ผิดบ้าง ตามความเชื่อส่วนบุคคล และเพื่อเปิดรับความเห็นต่าง เราจะช่วยทุกกลุ่มนำพาประเทศไปข้างหน้าได้อย่างไร สำหรับผู้ไม่มารายงาน ถือว่าไม่ให้ความร่วมมือในการให้ความปรองดอง และมุ่งมั่นจะเอาชนะฝ่าฝืนกฎอัยการศึกโดยไม่เคารพกติกา ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป โดยเฉพาะบางฝ่ายที่ใช้อาวุธสงคราม หรือวัตถุระเบิดต้องถูกปราบปรามอย่างเด็ดขาด
“เราต่อสู้ด้วยการยึดความคิดของตน หรือกฎหมายแต่ละฝ่ายไม่ได้อีกแล้ว เพราะอาจสร้างความขัดแย้งไม่สิ้นสุด คนส่วนใหญ่ไม่มีความสุข ประเทศขาดเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นจากต่างชาติเสื่อมถอย ดังนั้นทุกฝ่ายต้องปรองดอง และสมาฉันท์ ยุติการใช้ความรุนแรงต่อกัน สิ่งใดขัดแย้งหรือเห็นต่างต้องอยู่กันให้ได้ก่อน หารือให้ยอมรับทุกฝ่าย เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และคืนความสงบต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า 2.การขับเคลื่อนบริหารราชการ หลังจากสะดุดอยู่กับที่มาหลายเดือน งบประมาณปี 2557 หยุดชะงัก บางรายการไม่สามารถเบิกจ่ายหรือดำเนินการได้ ประชาชน และส่วนข้าราชการมีความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าว และจำเป็นต้องปลดล็อคด้วยรัฐบาลอำนาจเต็ม ดังนั้นต้องดำเนินการงบประมาณปี 2558 ให้ทันกำหนด ซึ่งวาระทำใกล้สิ้นสุด เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ในปี 2558 และให้ทันประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (A.E.C.) ที่จะมาถึงในปลายปีหน้านี้ โดยหลักการสำคัญของ คสช. ในการบริหารราชการในสถานการณ์ไม่ปกติในปัจจุบันคือ การใช้ระเบียบบริหารราชการปกติของทุกส่วนราชการให้มากที่สุด เว้นปัญหาติดค้าง หรือเร่งด่วน ทั้งนี้ คสช. ไม่ได้สั่งการข้าราชการให้ดำเนินการตามปกติ หรือผิดกฎหมาย หรือเพื่อผลประโยชน์ของใคร หรือจัดเองตามใจชอบ เพียงแค่จัดฝ่ายต่าง ๆ ร่วมหารือกับข้าราชการให้การขับเคลื่อนงานมีประสิทธิภาพ และประชาชนพึงพอใจ
“การใช้จ่ายงบประมาณ เกรงว่า คสช. ใช้งบไม่จำกัด เรียนว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องอยู่ในวินัยการเงินการคลัง รวมทั้งมีการหารือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านกฎหมาย สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความรอบคอบ การใช้จ่ายงบประมาณจะไม่ใช้จ่ายเกินกำลังจนเสียวินัยการคลัง และไม่เกินยอดหนี้สาธารณะ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ในงบประมาณปี 2557 จะเริ่มจากแผนงานค้างคาเร่งด่วน ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชน และเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะความต้องการพื้นฐานของประชาชน เงินทุนหมุนเวียน หรือเงินหมุนเวียนในระบบ ดำเนินการจาการต้องจ่ายเงินค่าจำนำข้าวที่ติดค้างชาวนาอีก 92,000 ล้านบาท โดยขณะนี้จ่ายไปแล้วบางส่วน และแผนงานที่ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ เนื่องจากติดขัดในรัฐบาลที่ผ่านมา จะดำเนินการตรวจสอบ และจัดลำดับเร่งด่วนให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะงบประมาณที่หมุนเวียนภายในระบบ การซ่อมแซมสาธารณูปโภค ความเร่งด่วนเฉพาะหน้า ไม่ใช่ใช้งบประมาณในโครงการขนาดใหญ่แต่อย่างใด ส่วนโครงการ 2 ล้านล้านบาท หรือโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท จะพิจารณาใหม่อย่างรอบคอบว่า โครงการใดที่เป็นประโยชน์ และสามารถปฏิบัติได้ จะแยกพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ และดำเนินการใหม่ทั้งหมดให้โปร่งใส
“จากการไปหารือเพื่อจัดทำงบประมาณปี 2558 ที่ได้มอบหมายนโยบายให้ดำเนินการนั้น และน่าจะอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการ รวมไปถึงการพิจารณาของรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี ที่จะจัดตั้งให้เร็วที่สุด ให้ทันก่อนการเริ่มต้นงบประมาณในปี 2558 คือ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการระงับสื่อต่าง ๆ บางสื่อ หรือบางสถานี หรือบางรายการนั้น ในระยะนี้มีความจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการชุมนุมครั้งล่าสุด มีการใช้สื่อทุกประเภท รวมทั้งในสังคมออนไลน์ก็มีการเผยแพร่ข้อความบิดเบือน ปลุกปั่น สร้างความเกลียดชังต่อเนื่อง มีทั้งที่ถูกและที่ผิด เจตนาดีก็มี แต่ก็ทำให้มีการเกิดความรุนแรงตามลำดับ และมีการข่มขู่ทำการรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม สร้างความเข้าใจผิดต่อผู้คิดเห็นต่าง หรือประชาชนที่เป็นกลาง ทำให้เกิดความสับสนตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์นักวิชาการ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหน่วยงาน ทำให้เกิดความสับสน ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหายุ่งยาก จึงต้องระงับสื่อดังกล่าวชั่วคราว อย่างไรก็ดี คสช. ไม่ได้มีนโยบายปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์ทุกประเภทแต่อย่างใด
หัวหน้า คสช. กล่าวอีกว่า สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าว อาจไม่สำเร็จโดยเร็วอย่างที่ทุกคนต้องการ หากไม่มีความสงบเกิดขึ้น การประท้วงโดยไม่เข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่เข้าใจเหตุผลการควบคุมอำนาจในครั้งนี้ว่าทำเพื่อประเทศไทย และคนไทยทุกคน ซึ่งจะต้องส่งผลดีต่อประเทศได้ในอนาคตอันใกล้
“ผมคิดว่าคนไทยคิดเหมือนผม ไม่มีความสุขมา 9 ปีแล้ว ขณะนี้ทุกคนอยู่ในความสงบ มีความสุขมากขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 – 22 พฤษภาคม 2557 ทั้งนี้ คสช. ไม่ต้องการเข้าสู่อำนาจหรือผลประโยชน์ใด ๆ แต่ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ถ้าทหารและข้าราชการทุกคนไม่ทำอะไรเลย ใครจะมาดูแลท่าน ใครจะมาแก้ปัญหาให้ท่าน ในเมื่อประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เดินหน้าต่อไปไม่ได้” หัวหน้า คสช. กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปิดท้ายว่า ด้วยความขัดแย้ง เจ้าหน้าที่ถูกตำหนิ ประชาชนเกิดความไม่ไว้วางใจ การบังคับใช้กฎหมายปกติทำไม่ได้ ขอให้เชื่อมั่นในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ประเทศชาติต้องมาก่อนเสมอ ความรู้สึกของชาวต่างประเทศ เราเข้าใจสังคมโลก ที่เป็นโลกของประชาธิปไตย แต่ขอให้เวลาเราในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และอะไรอีกหลายอย่างเพื่อแก้ไขประชาธิปไตยของไทยให้เป็นสากล ให้ถูกต้อง ชอบธรรม เสียสละ นึกถึงประโยชน์ของประชาชนทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนเสียงข้างมาก หรือเสียงข้างน้อย ได้รับความพึงพอใจทั่วถึงกัน หากทุกคนร่วมมือกันจะนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืน และทุกอย่างจะผ่อนคลายตามลำดับ
“เราเข้าใจว่าทุกคนต้องเลือกประเทศก่อน ประชาธิปไตยที่จะต้องเตรียมการแก้ไขปรับปรุงนั้นจะมาถึงในระยะเวลาไม่นานนัก มีเรื่องอื่นมากมายที่เราต้องช่วยกันทำ ช่วยกันคิด และคงไม่สำเร็จหากมีการประท้วง ขอเวลาให้เราแก้ไขจากนั้นทหารจะกลับไปทำภารกิจ และจะคอยเฝ้าระวังประเทศชาติ พร้อมกับน้อมรับแนวทางการปฏิบัติด้วยความสุขแบบยั่งยืน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักยิ่งของชาวไทยทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว