จำคุกตลอดชีวิต "รอสดี มะยามา" ข้อหาแยกดินแดน-ปล้นปืน ใต้วุ่นยิงทหาร 2 จุดเจ็บ 5
ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต “รอสดี มะยามา” ในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน หวังตั้ง “รัฐปัตตานี” แถมเอี่ยวปล้นปืนปี 2547 ให้น้ำหนักพยาน 3 ปากซึ่งเป็นแนวร่วมขบวนการและเจ้าหน้าที่ทหารที่สอบปากคำ ยันเจ้าตัวรับสารภาพหลายครั้งในชั้นสอบสวน ไม่เชื่อข้ออ้างถูกซ้อม ด้านไฟใต้โชน เอ็ม 79 ถล่มฐานทหารเจ็บ 4 ควงอาก้ายิง “พันจ่าเอก” หวิดสิ้นชื่อ รปภ.ธนาคารไม่เว้นเจอรัวกระสุนดับ
เมื่อวันพุธที่ 27 ก.ค.2554 มีการอ่านคำพิพากษาคดีความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่ห้องพิจารณาคดี 804 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.1450/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายรอสดี มะยามา ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ชาว จ.นราธิวาส เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นกบฏ ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร, สะสมกำลังพลหรืออาวุธ, ใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต, ปล้นทรัพย์หรือรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 91, 113,114,135/1-2, 209, 210, 212, 213, 340 และ 357
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2551 คำฟ้องสรุปว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้หลายปีมาแล้ว จำเลยกับพวกอีกหลายคนเป็นสมาชิกของกลุ่ม "เมืองหนึ่ง" โดยมีจำเลยเป็นหัวหน้าขบวนการแบ่งแยกดินแดนของราชอาณาจักรไทย คือ จ.ปัตตานี จ.ยะลา จ.นราธิวาส จ.สตูล และ อ.สะเดา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ออกจากการปกครองของรัฐบาลประเทศไทย ตั้งตัวเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง เรียกว่า “รัฐปัตตานี” หรือ “รัฐปัตตานีดารุสลาม” โดยมีแผนการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง สะสมกำลังพลและอาวุธ ทำการโฆษณาชวนเชื่อยุยงและปลุกระดมราษฎรให้หลงเชื่อ เกิดความรู้สึกเกลียดชังข้าราชการและรัฐบาลไทย สร้างแนวคิดเข้าสู่กลุ่มเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตามโรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนอื่นๆ ก่อเหตุรุนแรงหลายครั้งทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของรัฐและเอกชน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชนเกิดความหวาดกลัว เหตุเกิดที่ทุกตำบลและอำเภอใน จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และ อ.สะเดา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เกี่ยวพันกัน
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2552 ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 113 (3), 114, 135/1 วรรคสอง, 135/2, 209 วรรคแรก, 210 วรรคสอง, 212 (2) และ (3), 213 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ซึ่งการกระทำของจำเลยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแบ่งแยกดินแดน จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 113 (3) ฐานเป็นกบฏ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดให้ประหารชีวิต แต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงให้จำคุกตลอดชีวิต
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า โจทก์มีพยานที่เป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน 2 คนซึ่งเป็นครูสอนศาสนาอิสลามโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง เบิกความเป็นพยานโจทก์ล่วงหน้าก่อนเมื่อเดือน ม.ค.2549 ทำนองเดียวกันว่า เมื่อประมาณปี 2546 ได้ถูกชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ใช้ชื่อว่า “กลุ่มเมืองหนึ่ง” ซึ่งมีจำเลยเป็นหัวหน้าขบวนการแบ่งแยกดินแดน และได้เคยเข้าร่วมประชุมโดยจำเลยได้สั่งการให้ไปฆ่าสายสืบของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นชาวบ้านและครู ซึ่งมีสายสืบที่ถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บ และพยานยังเคยได้รับคำสั่งจากจำเลยให้ร่วมกันวางแผนตัดต้นไม้ขวางถนน โดยจำเลยทำหน้าที่วางระเบิด รวมทั้งเกี่ยวข้องกับคดีปล้นอาวุธปืนจากค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547
นอกจากนี้ โจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่ทหารประจำศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันด้วยว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2551 เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสส่งตัวจำเลยมาให้พยานสอบสวน ซึ่งจำเลยรับสารภาพว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนและร่วมปล้นอาวุธปืนจากค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้โจทก์จะนำพยานเข้าเบิกความล่วงหน้าก่อนฟ้อง แต่ในชั้นสืบพยานโจทก์นำพยานทั้งสองปากดังกล่าวเข้ายืนยันคำเบิกความ พร้อมให้ทนายความจำเลยถามค้าน ทำให้ได้รับคำเบิกความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งโจทก์ยังมีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยได้รับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน
นอกจากนี้ก็มีพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เบิกความด้วยว่าหลังรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบ และจำเลยให้การรับสารภาพถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกที่ดีเอสไอ ส่วนอีก 2 ครั้งที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ขณะที่จำเลยต่อสู้ว่าเป็นช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ที่ อ.เมือง จ.นราธิวาส ไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง และอุทธรณ์ว่าถูกทำร้ายให้รับสารภาพนั้น ศาลเห็นว่าหากมีการทำร้ายจริงต้องมีเจ้าหน้าที่เรือนจำรู้เห็น พนักงานสอบสวนคงไม่กล้าทำร้ายในสถานที่ที่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อยู่ด้วย จึงเชื่อว่าจำเลยสมัครใจรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งหมดแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกับพวกเกินกว่า 5 คน โดยมียุทธวิธีเพื่อแบ่งแยกดินแดนออกจากการปกครองของรัฐบาลไทยเป็นรัฐปัตตานีดารุสลาม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยมีลักษณะเป็นอั้งยี่ ซ่องโจรด้วย แต่แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ในประเด็นนี้ ศาลเห็นควรให้แก้ฐานความผิดให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ของจำเลย จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดนและเป็นอั้งยี่ ให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
ใต้วุ่นหนักเอ็ม 79 ถล่มฐานทหารเจ็บ 4
ด้านสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.ค.2554 มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 18.20 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 และอาวุธปืนสงครามไม่ทราบชนิดยิงใส่ฐานปฏิบัติการของทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 21 ซึ่งตั้งอยู่ที่โรงเรียนบ้านต้นไพ ท้องที่บ้านต้นไพ หมู่ 1 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บจำนวน 4 นาย เพื่อนทหารนำส่งโรงพยาบาลยะรัง
รายชื่อผู้บาดเจ็บประกอบด้วย ส.อ.ณัฐพงษ์ จุนเจิม ส.อ.กำพล แสนศิริ ส.อ.วุฒิพงษ์ มุขรัตน์ และพลทหารนิพล มุ่งแสง เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนสงครามไม่ทราบชนิด และขนาดลอบยิงทหารใกล้ฐานปฏิบัติการของหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ตั้งอยู่ที่โรงเรียนบ้านจาปากอ ท้องที่บ้านจาปากอ หมู่ 1 ต.กาเยาะมาตี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ทำให้ พ.จ.อ.ปราชญ์ชนะชัย ไชยสิทธิ์ อายุ 40 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบเช่นกัน
อย่างไรก็ดี มีรายงานข่าวอีกด้านหนึ่งว่า พ.จ.อ.ปราชญ์ชนะชัย ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนอาก้ายิงใส่ขณะวิ่งออกกำลังกายรอบๆ ฐาน
ยิง รปภ.ธนาคาร สาขาโคกโพธิ์ เสียชีวิต
เวลา 16.20 น.วันเดียวกัน คนร้ายจำนวน 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดยิง นายจักรพันธ์ คำศิริ อายุ 30 ปี พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาโคกโพธิ์ จ.ปัตตานี อยู่บ้านเลขที่ 62 บ้านนาเกตุ หมู่ 1 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เหตุเกิดบนถนนสายนาเกตุ-คลองช้าง ท้องที่บ้านนาเกตุ หมู่ 1 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ ขณะที่นายจักรพันธ์กำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
ทหารฟันธงบึ้มรางรถไฟฝีมือแก๊งค้ายาแก้แค้น
ด้านความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรางรถไฟในท้องที่หมู่ 6 บ้านสโลว์กาแต๊ะ ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อเช้ามืดวันพุธที่ 27 ก.ค. ทำให้รางรถไฟได้รับความเสียหาย รถไฟที่ให้บริการในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้วันละ 14 ขบวนไม่สามารถให้บริการได้ และลูกจ้างซ่อมรางยังเหยียบกับระเบิดที่คนร้ายฝังซ่อนไว้ขณะปฏิบัติงานซ่อมราง ได้รับบาดเจ็บข้อเท้าขาดอีก 1 รายนั้น
ล่าสุดวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.ค. ที่ห้องรับรองชั้น 2 อาคารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือชีวิต แต่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนตำหนิการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐว่าไม่สามารถดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ โดยสาเหตุของการลอบวางระเบิดครั้งนี้ เป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่ที่ได้จับกุมกวาดล้างกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดซึ่งใช้รถไฟสายใต้ขนยาเสพติดล็อตใหญ่จากกรุงเทพฯ โดยสามารถจับกุมได้ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวนกว่า 4 หมื่นเม็ด และที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กว่า 6 หมื่นเม็ด
สำหรับความคืบหน้าการซ่อมแซมรางรถไฟที่ได้รับความเสียหายจากเหตุลอบวางระเบิดนั้น ปรากฏว่ายังไม่เสร็จสิ้น ทำให้รถไฟไม่สามารถให้บริการได้ สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน พ่อค้าแม่ค้า และนักเรียนนักศึกษาจำนวนหลายพันคนที่ใช้บริการรถไฟเป็นประจำทุกวัน โดยปัญหาส่วนหนึ่งที่ทำให้การซ่อมแซมดำเนินไปได้ช้า เพราะเจ้าหน้าที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ศาลอุทธรณ์ (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
2 พล.ต.อัคร ทิพโรจน์
ขอบคุณ : ข่าวศาลอุทธรณ์จากสำนักข่าวเนชั่น