เล็งจ่ายค่าข้าวชาวนา 1-2 วัน คสช.สั่งคลังกู้เพิ่ม 5 หมื่นล.จ่ายครบใน 1 เดือน
คสช.กู้เงินธ.ก.ส. 4 หมื่นล้านบาท เล็งจ่ายเงินค่าข้าวชาวนาใน 1 - 2 วัน สั่งคลังกู้เพิ่มอีก 5 หมื่นล้านบาท จ่ายครบใน 1 เดือน กำชับก.ต่างประเทศเร่งสร้างความเข้าใจต่างชาติ เตรียมพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดี - รังสิต คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการประชุมด้านเศรษฐกิจ
ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. วันเดียวกัน ภายหลังการประชุม พ.อ.ณัฐวัฒน์ จันทร์เจริญ รองโฆษก คสช. แถลงผลประชุมด้านเศรษฐกิจว่า ที่ประชุมได้กำหนดกรอบการปฏิบัติงานด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะโครงการเร่งด่วน คือ การจ่ายเงินให้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งค้างจ่ายอยู่ประมาณ 92,000 ล้านบาท และมีชาวนาได้รับความเดือดร้อนกว่า 800,000 คน โดยแนวทางการแก้ไขปัญหา จะใช้เงินจากสภาพคล่องของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 40,000 ล้านบาท จ่ายให้กับชาวนาภายใน 1-2 วันนี้ หรืออย่างเร็วที่สุดคือช่วงบ่ายวันที่ 26 พ.ค. ขณะเดียวกันยังให้กระทรวงการคลังไปกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศอีก 50,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าการจ่ายเงินให้ชาวนาได้ทุกรายไม่เกิน 1 เดือนจากนี้
“คสช. จะประสานกับธ.ก.ส. ให้ตรวจสอบรายละเอียดของใบประทวน และหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน ซึ่งธ.ก.ส.มีวิธี และข้อมูลต่างๆอยู่แล้วว่าจะจ่ายให้ใครก่อน และจะจ่ายเฉลี่ยไปทั่วทุกภูมิภาค โดยชาวนาสามารถไปรับเงินที่จุดรับเงินที่หน่วยงานทหารของกองทัพบก และกองทัพอากาศ ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้ ส่วนชาวนารายใดที่อยู่ห่างไกล ทางกองทัพจะจัดหารถโมบายลงไปถึงในพื้นที่ให้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก และสร้างความโปร่งใส ส่วนเรื่องการกู้เงินนั้น เชื่อว่า จะทำได้อย่างรวดเร็ว เพราะได้ปลดล็อคขั้นตอนจากเดิมที่รัฐบาลจะกู้ ให้รวดเร็วขึ้น แต่ก็ต้องทำให้ถูกกฎหมาย” พ.อ.ณัฐวัฒน์ กล่าว
พ.อ.ณัฐวัฒน์ กล่าวอีกว่า ขณะที่การระบายข้าวในสต๊อกนั้น กระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งว่า จะสามารถระบายข้าวได้ 5,000-8,000 ล้านบาทต่อเดือน และสามารถนำเงินมาจ่ายให้กับชาวนาได้เสร็จภายใน 15 เดือน นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานด้านเศรษฐกิจไปรวบรวมมาตรการที่เกี่ยวกับการลดค่าครองชีพของประชาชนมาเสนอให้ที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งต่อไปด้วย
พ.อ.ณัฐวัฒน์ กล่าวว่า ในด้านของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาตินั้น ก็ได้กำชับให้กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงส่วนราชการที่ทำงานับต่างประเทศไปชี้แจงทำความเข้าใจสถานการณ์ พร้อมทั้งได้มอบนโยบายการเร่งพัฒนาขยายพื้นที่เศรษฐกิจบริเวณชายแดนเพิ่มขึ้น ให้มีคนทำงานในพื้นที่ชายแดนมากขึ้นนอกเหนือการเข้ามาทำงานในเมืองหลัก
"นอกจากนี้ในกรณีของการปิดซ่อมท่อก๊าซธรรมชาติ บริเวณพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ) ในวันที่ 13 มิ.ย.-10 ก.ค.นี้ ซึ่งอาจจะกระทบกับการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยนั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานหาแนวทางการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยจะเน้นให้ใช้พลังงานในประเทศเป็นหลักในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตหากจะต้องใช้พลังงานจากประเทศเพื่อบ้านแล้วเกิดปัญหาขึ้น" พ.อ.ณัฐวัฒน์ กล่าว