6 คำถามกับ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” : ผมไม่เคยเปลี่ยนสี
“ผมขอถามแล้วผม เปลี่ยนสีตรงไหน ผมไม่เคยเปลี่ยนสี ผมเพียงทำตามหน้าที่ของผม เพราะถ้าผมไม่ทำหน้าที่ ไม่รักษากฎหมาย ผมก็จะมีความผิด แล้วใครจะหันมามองในมุมนี้บ้าง”
พลันที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ. ประกาศกฎอัยการศึก พร้อมจัดตั้ง “กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย” (กอ.รส.) ทำให้ “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย” (ศอ.รส.) ที่จัดตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.ความมั่นคง ต้องยุบสลายหายไป
อำนาจการบริหารจัดการสถานการณ์ทั้งหมดถูกโอนถ่ายมาให้ “ทหาร” ดูแล
ไฮไลต์ของวันแรกขอ “กฎอัยการศึก” คือการที่ “พล.อ.ประยุทธ์” เรียกหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า มาประชุมกันพร้อมเพียง
สปอตไลท์จับไปที่ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มือไม้สำคัญของ “ศอ.รส.” มาเข้าร่วมประชุมด้วย
ทว่าอาการของ “ธาริต” กลับดูเงียบๆไป พร้อมกับข่าววงในระบุชัดเจนว่า “พล.อ.ประยุทธ์” สั่งให้ “ธาริต” หยุดการกระทำทุกอย่าง
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จึงต่อสายไปยัง “ธาริต” เพื่อสอบถามจุดยืนของการทำงาน ภายใต้ “กฎอัยการศึก”
@ โดนพล.อ.ประยุทธ์ ตำหนิในที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ หลังจากนี้จะวางตัวอย่างไร
วันนี้ (21 พฤษภาคม 2557) ดีเอสไอ ได้ประสานกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อจับกุมตัวดร.เสรี วงษ์มณฑา แกนนำกปปส. ตามหมายจับ และสามารถควบคุมตัวได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนี้กำลังควบคุมไปส่งอัยการ เพื่อส่งฟ้องคดีต่อศาล แต่เพื่อให้เกิดความเหมาะสม เพราะอยู่ในช่วงที่ประกาศกฎอัยการศึก ผมจะทำหนังสือไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผอ.กอ.รส. ว่าจะมีมาตรการดำเนินการอย่างไรกับหมายจับที่ยังเหลืออยู่
“ผมพร้อมทำตามคำสั่งของพล.อ.ประยุทธ์ แต่ต้องเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่จะมีความผิด สมมุติว่ามีหมายจับของศาลแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะสั่งให้ดำเนินการอย่างไร จะสั่งจับใครหรือไม่ ผมก็ต้องทำตาม เพราะการประกาศกฎอัยการศึกไม่ได้ทำมานาน อาจจะเกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับการดำเนินคดีตามหมายจับของศาล พล.อ.ประยุทธ์คงปรึกษากับทีมกฎหมายของท่านแล้วสั่งการมา ผมพร้อมจะปฏิบัติงานตามทุกคำสั่ง”
@ รู้สึกอย่างไรกับการทำงานที่ผ่านมา
ผมเฉยๆ ผมทำตามหน้าที่ที่ผมต้องทำ ชั่วโมงนี้คนมันแบ่งขั้ว แบ่งพรรค แบ่งพวก กันอยู่แล้ว ทำอะไรไม่ถูกใจใครเขาก็ด่าอยู่แล้ว แล้วจะให้ผมทำอะไรได้ นอกจากผมต้องทำตามหน้าที่ของผม เท่าที่กฎหมายได้ให้อำนาจผมเอาไว้ ถูกใจใครก็ชม ไม่ถูกใจเขาก็ด่า ผมธรรมดาซะแล้ว
@ เมื่อทหารประกาศกฎอัยการศึก สังคมก็เริ่มคาดคะเนว่า “ธาริต” อาจจะเปลี่ยนสีอีก
“ผมบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ผมไม่เคยคิดเรื่องการเปลี่ยนสี เพราะผมเป็นข้าราชการ ต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาล แล้วไปย้อนหลังได้เลย ผมทำคดีคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีมากมายหลาย 10 คน ทั้งนายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานนปช. นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เป็นต้น ทุกคนโดนเกือบหมด แต่ผมทำคดีของอีกฝั่งหนึ่งมีแค่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. เพียงแค่ 2 คน ที่โดนผมฟ้องร้องดำเนินคดี”
“ผมขอถามแล้วผมเปลี่ยนสีตรงไหน ผมไม่เคยเปลี่ยนสี ผมเพียงทำตามหน้าที่ของผม เพราะถ้าผมไม่ทำหน้าที่ ไม่รักษากฎหมาย ผมก็จะมีความผิด แล้วใครจะหันมามองในมุมนี้บ้าง”
@ มองว่าทำตามกฎหมายแต่ถูกกล่าวหาว่าเปลี่ยนสี รู้สึกเจ็บปวดบ้างหรือไม่
“ไม่นะ ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย ผมรู้สึกเฉยๆ เพราะผมทำตามหน้าที่ที่ควรทำ แล้วมันก็ไม่เจ็บปวดอะไร”
@ หากรัฐบาลเพื่อไทยกลับมามีอำนาจจะยังทำงานอยู่ด้วยหรือไม่
ผมเป็นข้าราชการ ผมก็ต้องทำงานสิ ขอให้รัฐบาลสั่งมา ถ้าอยู่ในกรอบของกฎหมายผมทำและต้องทำด้วย
@ ตรงกันข้ามหาขั้วตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลจะวางตัวอย่างไร
ผมก็ต้องทำงาน ตราบใดที่ผมยังอยู่ในตำแหน่ง ผมพร้อมจะทำงานเสมอ ถ้าผมไม่อยู่ในตำแหน่งสิ ผมก็ทำงานไม่ได้ ตอนนั้นก็ค่อยว่ากัน
ทั้งหมดคือท่าที-จุดยืน-ตัวตน ของชายชื่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ในวันที่อำนาจเปลี่ยนมือมาเป็นของ “ทหาร”