คำต่อคำ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" : เราต้องสลายสีเสื้อให้ได้
"..เราจะไปหวังพึ่งใคร ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากคนไทยทุกคน ไม่ว่าสีใครเราต้องสลายสีเสื้อไปให้ได้ และอย่าไปสนับสนุนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อให้เกิดความรุนแรง..”
หมายเหตุ : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) พร้อมด้วย พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังร่วมประชุมกับหน่วยส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากเรียนให้ทุกคนทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นการประกาศใช้กฎอัยการศึกในทุกพื้นที่มีเหตุผลและความจำเป็นอย่างไร อยากเรียนว่าสังคมอย่าตื่นตระหนักเป็นเพียงการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดขึ้น
“อยากให้แสวงหาทางออกอย่างสันติวิธีให้ได้ ลดความขัดแย้งของประชาชนทุกพวกทุกฝ่าย วันนี้อาจจะมีคนที่เดือดร้อยอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน ผมอยากขอเวลาสักระยะหนึ่งให้สถานการณ์สงบเรียบร้อย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งอีกต่อไป การประกาศใช้กฎอัยการศึกในครั้งนี้นั้นเป้นการประกาศเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพื่อให้มีการแสวงหาทางออก โดยที่ไม่มีการกดดันจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น”
วันนี้ได้เชิญปลัดกระทรวง อธิบดี รวมถึงภาคส่วนเศรษฐกิจ และภาคส่วนสังคม และเอกชน และสหภาพต่างๆ ซึ่งทุกคนมีข้อสรุปว่าบ้านเมืองต้องเดินหน้าไปให้ได้โดยสันติวิธี โดยข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม เห็นชอบร่วมกันและเข้าใจถึงความจำเป็นของทหารในทหารในการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงนี้ วันนี้ 3 เหล่าทัพ กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหนึ่งเดียวในการรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประเทศ และมิตรประเทศในเรื่องการลงทุน การท่องเที่ยว ว่าพวกเราจะไม่ส่งผลกระทบกับกิจการใดๆทั้งสิ้น
“สิ่งที่เราจะดำเนินการเร่งด่วนคือ การบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้ที่ใช้อาวุธสงคราม หรือผู้ที่ตั้งกองกำลังในการทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย ซึ่งสิ่งที่หลายท่านสงสัยในคำพูดของตนที่พูดว่า เมื่อมีการจลาจล แต่จริงๆแล้ว ที่ผ่านมาได้เกิดการจลาจล เนื่องจากมีการบาดเจ็บและสูญเสียเป็นจำนวนมาก มีประชาชนเสียชีวิต 28 คน และบาดเจ็บ 700 ร้อยกว่าคนถือเป็นเสียชีวิตที่ใหญ่หลวง ซึ่งเสียชีวิตคนเดียวก็มากแล้วสำหรับครอบครัวของเขา”
ที่ประชุมมีมติร่วมกันในการหาทางออกให้กับประเทศให้ได้ ซึ่งข้าราชการทุกกระทรวงต้องมีความเข้มแข็ง ในฐานะปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายด้วยความชอบธรรมมีคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งทุกคนให้สัญญากันไว้ สำหรับการแก้ไขปัญหาต้องให้ทุกกระบวนการได้ทำงาน โดยไม่ไปกดดัน ส่วนผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายอยู่ในความสงบ และสันติวิธีจะมาต่อสู้ด้วยอาวุธทำลายกันและกันนั้น พวกเรายอมไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องดูแลคนไทยทุกคน เราพยายามให้ความเป็นธรรมกับทุกพวกอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะถูกจะผิดก็ต้อไปว่ากันในกระบวนการยุติธรรม
“ผมไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครผิดมากผิดน้อย แต่การดำเนินการดังกล่าวเป็นเรื่องของศาล ทุกคนก็ต้องเข้าไปสู่กระบวนการทั้งสิ้น หลังจากการประกาศกฎอัยการศึกถือเป็นการนับหนึ่งว่าบ้านเมืองต้องเดินไปในทางที่สงบ และสันติโดยเร็ว เราจะไม่เอาเรื่องเก่ามาพูดกันให้แก้ปัญหาไม่ได้อีก เราต้องมองวันข้างหน้าว่าจะเดินต่อไปอย่างไร ขอร้องสื่อ และทุกภาคส่วนขอให้ช่วยกันสร้างความเข้าใจกับประชาชนในประเทศว่าเข้าจะขัดแย้งต่อไปไม้ได้อีกแล้ว เราจะไปหวังพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากคนไทยทุกคน ไม่ว่าสีใครเราต้องสลายสีเสื้อไปให้ได้ และอย่าไปสนับสนุนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อให้เกิดความรุนแรง”
เราจำเป็นต้องระงับการเผยแพร่ของสื่อหลายช่อง ก็ต้องขออภัย เนื่องจากมีความจำเป็นในเรื่องความมั่นคง ขอให้ทุกคนอดทน ซึ่งการประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้นจะใช้เพียงบางมาตราเท่านั้น เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบในวงกว้างและจะสร้างปัญหาต่อไปในอนาคต พวกเรามีความตั้งใจอันดีที่จะให้ชาติบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า
@ จะประกาศใช้กฎอัยการศึกนานแค่ไหน
การประกาศกฎอัยการศึกนี้ต้องการให้เกิดความสงบและปลอดภัยจะไม่มีใครประกาศไว้นาน แต่อยากให้หาทางออกได้โดยเร็ว ทั้งนี้เหตุการณ์สงบเมื่อใด และบ้านเมืองปลอดภัยเมื่อใด มีเสถียรภาพเมื่อใด ก็เมื่อนั้น
@ สังคมตั้งคำถามว่ากองทัพต้องการให้มีการเลือกตั้ง หรือต้องการได้นายกรัฐมนตรี มาตรา 7
“ไม่มีการพดูดถึงเรื่องนี้ ทุกอย่างเป็นกระบวนการ เป็นกฎหมายที่ต้องดำเนินการกันไป หากทำได้ก้ทำไป หากทำไม่ได้ก็ต้องขจัดข้อขัดแย้งก่อนถึงจะทำได้ หากข้อขัดแย้งยังไม่มีการแก้ไขก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น ดังนั้น ทหารจึงมีความจำเป็นประกาศใช้กฎอัยการศึก”
@ หากบ้านเมืองไม่สงบนาน 3-6 เดือน จะยังคงใช้ต่อได้หรือไม่
คงไม่ถึงตรงนั้น ทุกอย่างถ้าเป็นกระบวนการ หรือกฎหมายถ้าทำได้ก็ทำไป แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งก่อน เพื่อให้ทำให้ได้ หากข้อขัดแย้งไม่ได้แก้ไขก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเงื่อนไขความขัดแย้งไม่จบก็ยังไม่กลับทั้งคู่ เพราะฉะนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขทั้งหมดต้องมาแก้ปัญหา ส่วนสถานการณ์จะมีการพัฒนาไปถึงการรัฐประหารหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ใครก็ไม่ตอบ ไม่เคยตอบอะไรสักอย่างอย่ามาสรุปเอง
@ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชิญคู่ขัดแย้งมาพูดคุยหรือไม่
ก็อยู่ในกระบวนการที่ต้องดำเนินการอยุ่แล้ว แต่วันนี้ได้พูดคุยกับข้าราชการก่อน และหลังจากนั้นก็จะทำอย่างไรให้คู่ขัดแย้งมาพูดคุยกัน ท่ามกลางความสงบ ถ้าไม่สงบและมีการเคลื่อนไหว หรือยุยง ปลุกปั่น หรือสร้างภาพจนทำให้เกิดความรุนแรงก็จะพูดกันไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นทุกพวกทุกฝ่ายต้องหยุดก่อน
@ มีความเป็นไปได้ที่จะเรียกทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยกันโดยเร็วที่สุด
ถ้าผมเรียกทุกฝ่ายก็ต้องมาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามภายใต้กฎอัยการศึก ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายก็ไม่ฟัง อย่างไรก็ตามก็ต้องติดตามดูสถานการณ์ต่อไปว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ แต่พวกผมจะไม่ยอมให้มีการนองเลือกขึ้นมาให้แผ่นดินไทยเป็นอันขาด
@ ขณะนี้รัฐบาลอยู่ในสถานะใด
"คุณก็รู้คำตอบของคุณอยู่แล้ว ถ้าไม่รู้ก็ไปถามคนที่เขารู้ ผมมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย"
@ หากกองทัพจะดำเนินการอย่างไรต้องถามความเห็นรับบาลรักษาการหรือไม่
"ตอนนี้รัฐบาลอยู่ที่ใด ผมก็ไม่ทราบ แต่ถ้าทำงานได้ก็ทำไปกันไป ประเทศชาติก็ต้องทำงาน ตอนนี้ขอให้ข้าราชการประจำกับทหารทำงาน ตนไม่ไปยุ่งกับใครไม่ไปยุ่งกับรัฐบาล โดยข้าราชการประจำ และทหารจะทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่าไปกังวล ทุกอย่างจะดำเนินการไปอย่างปกติ และจะไม่พยายามไปละเมิดสิทธิมนุษยชนให้มากนัก หรือให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งยังมีอีกหลายมาตราที่ไม่ได้ใช้ รวมถึงการประการใช้เคอร์ฟิวส์"