‘ดร.เพิ่มศักดิ์’ จี้กรมอุทยานฯ ย้ายผู้ใกล้ชิดหน.แก่งกระจานออกพื้นที่จนคดีสิ้นสุด
‘ดร.เพิ่มศักดิ์’ เผยเสียใจ ‘บิลลี่’ หายตัวปริศนา จี้กรมอุทยานฯ ย้ายผู้ใกล้ชิดอดีตหน.แก่งกระจานออกพื้นที่ จนกว่าคดีจะสิ้นสุด คปก.ร้องตร.ส่วนกลางสางคดีแทน เพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานเกี่ยวข้อง
วันที่ 17 พฤษภาคม 2557 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จัดสัมมนา ‘สิทธิและเสรีภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึกบางกลอย’ ณ วีเทรน อินเตอร์เนชั่นแนลเฮ้าส์ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ดอนเมือง
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ กล่าวถึงข้อสรุปจากการพูดคุยกับคนกะเหรี่ยงในเวทีครั้งนี้ว่า ชาวบ้านยืนยันอยู่ในพื้นที่ก่อนการประกาศเขตอนุรักษ์ป่ามานานแล้ว ทุกคนเกิดที่นี่และเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน ยกเว้น ‘ปู่คออี้’ คนเดียว กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เผาบ้านและยุ้งฉาง พร้อมขับไล่ออกจากบางกลอยบน แต่เมื่อต้องย้ายถิ่นฐานลงมาในพื้นที่รัฐจัดให้นั้น กลับถูกบีบให้อาศัยอยู่ไม่ได้ เช่น ห้ามตัดไม้ ห้ามหาฟืน และห้ามปลูกบ้านปูน
ดังนั้นชาวบ้านจึงมีข้อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดหาที่ดินทำกินเพียงพอ เพราะพื้นที่ปัจจุบันมีลักษณะเป็นหินไม่สามารถเพาะปลูกได้ นอกจากนี้ชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้บ้านและยุ้งฉางยืนยันที่จะขอกลับไปอาศัยในพื้นที่บางกลอยบนเหมือนเดิม และขอร้องไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐกดดันชาวบ้านอีกต่อไป
สำหรับทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิฯ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย โดยในกรณีชาวบ้านบุกรุกป่าจะต้องปิดป้ายประกาศเตือนชัดเจน 2 ครั้ง แต่ที่ผ่านมาไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ และถึงแม้ชาวบ้านไม่ยอมออกจากพื้นที่ก็ต้องยื่นฟ้องต่อศาลตามกฎหมาย
พร้อมกันนี้จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) 3 สิงหาคม พ.ศ.2553 ให้ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ หากเป็นพื้นที่ชาวบ้านอยู่มาก่อนให้คืนสิทธินั้น แต่ถ้าเป็นพื้นที่บุกรุกใหม่ให้คืนสิทธิแก่ภาครัฐ
“เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ด้วยที่ผ่านมามีการก่อให้เกิดปัญหาในพื้นที่ ตลอดจนให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชน ยิ่งก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้น” นายสุรพงษ์ กล่าว
ด้านดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ม.มหิดล กล่าวว่า รู้สึกเสียใจมากกับชาวกะเหรี่ยงที่มีความเคารพและศรัทธาต่อวิถีชีวิตอยู่กับป่าต้องถูกกล่าวหาบุกรุกป่า รวมถึงกรณีบิลลี่หายตัวไปด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังเชื่อว่าเขามีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร ซึ่งการหายตัวไปครั้งนี้เป็นสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ที่ไม่สามารถให้อภัยได้
“ผมคิดว่ามีสาเหตุอันสมควรให้เกิดความขัดแย้ง แต่สาเหตุนั้นยังมองไม่เห็นให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องกระทำความรุนแรงต่อชาวบ้าน” นักวิชาการ กล่าว และว่า เมื่อลองไปพลิกอ่านกฎหมายของภาครัฐทุกหน่วยงานล้วนไม่มีการอนุญาตชี้นำให้กระทำเช่นนี้
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบเกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่พิสูจน์ตนเองแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาการกล่าวหาว่าเป็นผู้ซ่องสุมกองกำลังต่างชาติ อาวุธ ยาเสพติด ตนเองได้ลงพื้นที่พูดคุยกับตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ต่างระบุไม่มีพฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้น ดังนั้นกรณีการหายตัวไปของบิลลี่จึงเป็นเรื่องที่กระบวนการยุติธรรมต้องทำหน้าที่ให้เขาและครอบครัวได้รับความเป็นธรรม ซึ่งส่วนตัวยังเชื่อมั่นในกระบวนการนี้
“แม้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน ได้ขอย้ายออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เห็นควรให้มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าใกล้ชิดของเขาออกด้วย จนกว่ากระบวนการค้นหาความจริงจะยุติเป็นที่พอใจ มิใช่เวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น” นักวิชาการ ทิ้งท้าย
ขณะที่นายไพโรจน์ พลเพชร กรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนกลางลงพื้นที่สืบสวนคดีแทนอย่างเอาจริงเอาจัง พร้อมเพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานที่เกี่ยวข้อง ไม่เฉพาะครอบครัวบิลลี่เท่านั้น แต่รวมถึงลูกจ้างของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานด้วย เพราะส่วนตัวเชื่อมั่นว่าลูกจ้างกลุ่มนี้อาจรู้เห็นและเป็นพยานได้ เพื่อเปิดทางให้มีการค้นหาความจริง .