ฟัง"พลเมืองเน็ต "วิพากษ์ "กสทช." ทวงสิทธิ์ดูบอลโลกคืนจาก "อาร์เอส."
ผู้ประสานงานพลเมืองเน็ต ชี้ กสทช.สั่งอาร์เอสถ่ายทอดบอลโลก คล้าย "ประชานิยม" แนะ ใช้อำนาจรัฐต้องอยู่ภายใต้หลักกม. แม้องค์กรกำกับรายการฯ ของ ต่างปท. ยังหารือหลายฝ่าย ก่อนชี้ขาดว่ากีฬาใดต้องออกอากาศ
จากกรณีที่ศาลปกครองกลางตัดสินให้ บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนลบรอดคาสติ้งแอนด์สปอร์ตแมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ชนะคดี ในการยื่นฟ้องต่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.เรื่องการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล
โดยคำพิพากษาชี้ว่าการประกาศกฎสัญญาอาร์เอส กับฟีฟ่า มีมาก่อนกฎมัสต์แฮฟ (Must Have) หรือการถ่ายทอดสดกีฬาทางฟรีทีวี ของ กสทช. และกฎดังกล่าวไม่ยุติธรรมต่อบริษัท อาร์เอส เจ้าของลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2014 เนื่องจากกฎดังกล่าวของ กสทช.เพิ่งประกาศใช้เมื่อปีที่แล้ว
ขณะที่ อาร์เอส ซื้อลิขสิทธิ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 เนื่องจากกฎหมายที่ กสทช.ออกมา ไม่สามารถบังคับย้อนหลังได้ เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ อาร์เอส สามารถเผยแพร่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ตามที่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
แต่ล่าสุด กสทช.ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าว
เมื่อเร็วๆนี้ นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต หนึ่งในองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนที่ติดตามการจัดสรรคลื่นความถี่และการทำงานของ กสทช. ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า “ประกาศมัสต์แฮฟของ กสทช. ออกมาหลังจากที่อาร์เอสซื้อลิขสิทธิ์บอลโลกแล้ว ซึ่งกลายเป็นบังคับใช้ย้อนหลัง โดยทางกฎหมายถือว่าลิขสิทธิ์คือทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ดังนั้น การที่ไปวิพากษ์เขา และอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ มันก็ดูตลกๆ แต่ถ้าถามว่ารัฐสามารถทำได้ไหม ต้องมีเหตุผลที่ชอบธรรมมากพอในการที่จะทำอะไร ไม่เช่นนั้น ประชาชนจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก่อนที่รัฐจะทำอะไรก็ต้องมีหลักคือต้องให้ความชอบธรรมและหลักกฎหมาย รวมทั้งคำนึงถึงมาตรการที่ทำลงไปว่าแม้บรรลุวัตถุประสงค์จริง แต่ความเสียหายที่ตามมานั้นอาจไม่คุ้ม”
ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ตรายนี้ กล่าวเปรียบเทียบการทำหน้าที่กำหนดรายการกีฬาที่มีความสำคัญต่อคนในชาติ โดยเปรียบการทำหน้าที่ของ กสทช.กับ ออฟคอม (Ofcom) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระกำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมและสื่อแห่งสหราชอาณาจักร ที่มีหน้าที่ในการทำงานเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ ออฟคอม ไม่ได้เป็นผู้กำกับดูแลรายการ แต่ทำหน้าที่เหมือนกับสภาในการตรวจสอบ และแม้ออฟคอมอาจมีหน้าที่คล้ายกับ กสทช. แต่ออฟคอมก็ไม่ใช่หน่วยงานที่จะมีสิทธิ์กำกับดูแลรายชื่อกีฬาต่างๆ
“แต่ผู้ทำเรื่องนี้คือ department media culture sportหรือกระทรวงสื่อ วัฒนธรรมและการกีฬา เมื่อเขาลิสต์รายการที่จะแข่งแล้วก็ส่งไปให้สภาพิจารณาว่าจะให้รายการใดเป็นรายการที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของคนในชาติ เป็นรายการกีฬาที่สำคัญ แต่กระทรวงสื่อฯ ของเขา จะต้องทำการเรียนรู้ใหม่ทุกๆ 5 ปี เพราะว่าอัตลักษณ์หรือค่านิยมของคนในสังคมอาจเปลี่ยนไป เช่นอังกฤษ มีกีฬาที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของเขาคือฟุตบอล ต่อมาเขาอาจเป็นเป็นเทนนิส หรือบาสเกตบอลก็ได้” นายอาทิตย์ระบุ และกล่าวด้วยว่าในสหราชอาณาจักร ผู้ที่กำหนดนโยบายว่ารายการอะไรที่จะเลือกให้คนดู คือฝ่ายบริหารร่วมกับนิติบัญญัติ ในสภาออกนโยบายแต่องค์กรที่จะไปกำกับดูแลให้รายการออกอากาศในช่องไหนนั้นก็ต้องทำตามกฎหมายและนโยบาย
“หากย้อนกลับไปดูแผนของ department media culture sport แล้วเขามีรายชื่อกีฬาให้คนดู แต่เขาไม่ได้ไปบังคับให้รายการทีวีแต่ละช่อง หรือไปเอาลิขสิทธิ์ใครเขามา อย่างในประเทศอังกฤษ หากเป็นนัดสำคัญๆ ทางสภาสามารถยื่นข้อเสนอให้บีบีซีไปซื้อลิขสิทธิ์มาได้ นี้เป็นกลไกหนึ่งที่สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่ไปยึดลิขสิทธิ์ของเอกชนมา เช่นที่ กสทช. พยายามทำ”
นายอาทิตย์กล่าวว่า จริงอยู่ที่การถ่ายสดกีฬาที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละประเทศย่อมส่งผลดีต่อประเทศ นั้นๆ เพราะคนส่วนใหญ่ให้การยอมรับและมีมุมมองร่วมกัน เป็นส่วนหนึ่งที่รัฐมองว่าเพื่อสร้างความสามัคคี อาจถือเป็นการสร้างความมั่นคงให้รัฐ และรัฐยังสามารถใช้เหตุผลนี้ในการแทรกแซงได้ที่จะดำเนินนโยบาย เพื่อประโยชน์ของรัฐและสาธารณะ
“รัฐสามารถทำได้ แต่แม้จะทำได้ ก็ทำได้เพียงบางนัดเท่านั้นไม่ใช่ทุกนัด แม้ในต่างประเทศ เขาก็เลือกแค่นัดสำคัญๆเท่านั้น”
นอกจากนี้ นายอาทิตย์ ยังตั้งคำถามด้วยว่า ความหมายของกีฬาที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของคนในชาติเช่นที่ต่างประเทศให้ความสำคัญนั้น แล้วกรณีของฟุตบอลโลกที่กำลังเป็นคดีความระหว่าง กสทช.และ บริษัทอาร์เอสฯ ถือเป็นอัตลักษณ์ของชาติไทยหรือไม่
นายอาทิตย์กล่าวด้วยว่า แม้สิ่งที่ กสทช.ทำ อ้างว่าทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ในทางกลับกัน ก็ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายด้วย "และต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่ กสทช. ทำอยู่ มีลักษณะประชานิยม ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของ กสทช. ที่จะต้องทำแบบนี้” นายอาทิตย์ระบุ
ภาพประกอบจาก : www.manager.co.th