'เจษฎ์ โทณวณิก' ชี้ประเทศยังไม่ถึงทางตัน จี้ทุกฝ่ายคุยกัน ถอยคนละก้าว
เสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานส.ส.ร.50 เชื่อทหารมีอำนาจมากสุดแก้วิกฤติการเมือง เร่งทุกฝ่ายถกหานายกฯ คนกลาง ด้านอดีตกกต. ย้ำชัดไม่มีทางเลือกอื่น หนุนต้องมีการเลือกตั้ง
วันที่ 12 พฤษภาคม 2557 ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย ร่วมกับ "มูลนิธิตาสว่าง" และ "มูลนิธิฟรีดริชเนามัน" จัดเสวนาในหัวข้อ “องค์กรอิสระ: ผ่าทางตันประเทศไทย? ณ ห้องประชุม Dipak C.Jane อาคารศศนิเวศ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทรฺ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นายประพันธ์ นัยโกวิท อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงการหาทางออกให้กับประเทศในวิกฤติการณ์เช่นนี้ว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันหาทางออก โดยเฉพาะองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ที่มีบทบาทและมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นองค์กรต้นทางในการสร้างให้เกิดกระบวนการใช้ระบบรัฐสภา ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องให้กำลังใจในการทำหน้าที่ และตัวกกต.เองก็มีหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้การเลือกตั้งนั้นเกิดขึ้น โดยไม่ต้องคิดว่าแต่ละฝ่ายจะคิดอย่างไร เพียงให้คิดไว้ว่า มีหน้าที่อย่างไรให้ทำหน้าที่อย่างนั้น
ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความผิดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น คณะรัฐมนตรี(ครม.) บางส่วนก็ยังอยู่ นายประพันธ์ กล่าวว่า ฉะนั้นคนที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีก็ยังมี อำนาจสามารถปฏิบัติภารกิจได้ตามมาตรา 195
ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสมาชิกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวว่า ปัญหาของการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 หรือ 2550 คือการถ่วงดุลอำนาจกันและกัน มีการเพิ่มหน่วยงานขึ้นมาเพื่อการตรวจสอบ และขณะนั้นก็เห็นว่า ไม่สามารถที่จะให้นักการเมืองเขียนกฎหมายขึ้นมาใช้เองได้ เพราะนักการเมืองของเราไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีจริยธรรม ใช้ช่องทางการเมืองเข้าสู่อำนาจ ในช่วงนั้นจึงเห็นว่า ต้องมีการปฏิรูปการเมือง โดยนำสภาพการณ์ และปัญหา ทางแก้ปัญหาทุกอย่างใส่ลงไปในรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเป็นรัฐธรรมนูญที่ยาวที่สุดในโลก เพื่อนำมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น มีระบบตรวจสอบมากขึ้น
“เมื่อมีการตรวจสอบนักการเมืองมาก ทำให้เกิดการต่อสู้ทางการเมืองปกติถ้านักการเมืองไม่ดี ชาวบ้านจะออกมาไล่ แต่ประเทศไทยปัจจุบันนี้ไม่ใช่แบบนั้น นักการเมืองกลับไปดึงชาวบ้าน ประชาชนมาช่วยจึงเกิดเป็นปัญหาและเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์วันนี้จากปัญหาการเมืองกลายมาเป็นปัญหาบ้านเมือง”
อดีตรองประธาน สสร.2550 กล่าวว่า ขณะนี้มีการกล่าวว่าองค์กรอิสระมี 2 มาตรฐาน มีการพูดล่วงละเมิดอำนาจ ซึ่งที่ผ่านมาเห็นว่าการตัดสินขององค์กรอิสระไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือ ศาลรัฐธรรมนูญมีเหตุผลชัดเจน แต่วิธีการขององค์กรอิสระเกิดปัญหาว่า ตัดสินแล้วเกิดการไม่ยอมรับ มีการบอกว่าไม่ยุติธรรมของศาล พวกที่บอกไม่ถูกต้อง แต่กลับไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างเหตุผลของศาล ป.ป.ช. ได้เลย
อย่างไรก็ตาม นายเสรี กล่าวว่า คนที่มีอำนาจที่สุด มีอำนาจที่แท้จริงตอนนี้ก็คือทหาร ซึ่งทหารจะต้องออกมาความคุมความสงบให้ได้เพื่อไมให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย
“คนที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือองคมนตรี ส่วนใครจะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่อง แต่การแก้ปัญหาบ้านเมืองต้องมีข้อแนะนำโดยองค์กรหลักคือ วุฒิสภา ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ตำรวจ องคมนตรี และหานายกรัฐมนตรีคนกลาง โดยใช้มาตรา 3 มาตรา 7 ได้ เพราะต้องดูสภาพความเป็นจริงว่า ถ้ามีเลือกตั้งอาจจะไม่สำเร็จ เพราะยังตกลงกันไม่ได้ ถ้าบอกว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. เท่านั้น บ้านเมืองก็จะไม่มีทางออก หรือจะตั้งรองนายกรัฐมนตรีคนกลางเข้ามาทำหน้าที่ ไปตั้งรัฐบาลคนกลางขึ้นมา ไปจัดเลือกตั้ง ไปจัดปฏิรูป ทางนี้ก็สามารถทำได้โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ”
ด้านรศ.ดร.เจษฎ์ โทณวณิก อดีตผู้อำนวยการบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า ตอนนี้หากถามว่าทางออกเราตันหรือไม่ ทางออกเรายังไม่ตัน แต่สิ่งที่ กปปส. เรียกร้องคือสำนักตามกฎหมายธรรมชาติที่เป็นเรื่องนอกกรอบเป็นเรื่องที่จะต้องนำมาคุยกัน
ส่วนองค์กรอิสระจะผ่าทางตันอย่างไร รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวว่า องค์กรอิสระไม่ได้มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนกรณีที่บอกนายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. เพราะแค่คนตระบัดสัตย์ 1 คน ของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร บ้านเมืองเราถึงได้ตันอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะเราดันให้ถึงทางตันเอง ถ้านำทางตันแบบนี้ไปทูลเกล้าฯ จะจบได้อย่างไร
“ทางออกจึงมีอยู่ 2 ทาง คือจะคุยกันก่อนแล้วค่อยหาทางออก หรือตีกันก่อนแล้วค่อยหาทางออก”รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว และว่า ปัญหาวันนี้หลายฝ่ายทุกฝ่ายต้องคุยกัน คนที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งยังเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด เราต้องคุยกันว่าจะเอาใคร จะทำอย่างไร ต้องมีตัวเลือกให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งเชื่อว่ายังมีอยู่ และเรื่องอำนาจในวันนี้เปรียบเสมือนกำลังภายใน คือ ดาบใครไวเป็นเหตุผล ไม่ต้องมาคุยกัน อาวุธใครครบมือคือเหตุผล ที่ผ่านมามะม่วงตอนนี้ถูกเอาไปคนละครึ่งใบแล้ว ก็ต้องมีคนถอยกันบ้าง ไม่อย่างนั้นมะม่วงครึ่งใบที่เหลือจะเน่าได้