จาก "บวรศักดิ์" ถึงศอ.รส. "ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นรัฏฐาธิปัตย์"
"ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ตามที่ ศอ.รส. กล่าวอ้าง ข้าพเจ้าไม่เคยแสดง ณ ที่ใดๆให้ “รับรู้การใช้อำนาจตามอำเภอใจของศาลรัฐธรรมนูญ” และข้าพเจ้ายิ่งไม่อาจ “มีความมุ่งหมายที่จะแสดงความชอบธรรมว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมความชอบ ด้วยรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง แม้ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้"
ภายหลังที่ “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย” (ศอ.รส.) ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 โจมตี “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่าล่าสุด “บวรศักดิ์” ได้ทำคำชี้แจง เพื่อตอบโต้แถลงการณ์ของ “ศอ.รส.” ถือเป็นข้อมูลที่สังคมควรรับฟัง
“บวรศักดิ์ อุวรรณโณ”
ตามที่มีแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ของ ศอ.รส. เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งรับฟังคำพยานในคำร้องขอให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เพราะกระทำการก้าวก่ายและแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี
แถลงการณ์ดังกล่าวมีลักษณะชี้นำ และก้าวล่วงกดดันศาล ซึ่งมิใช่วิสัยที่หน่วยงานของรัฐที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยกลับเป็นผู้ก่อให้เกิดความไม่สงบเสียเอง ด้วยการทำตัวระราน ข่มขู่ศาลและผู้อื่นไปทั่ว ยิ่งกว่านั้น แถลงการณ์ดังกล่าวมีข้อความบางส่วนเป็นเท็จ และกล่าวหาในลักษณะที่ทำให้เข้าใจว่า ข้าพเจ้ากล่าวแสดงปาฐกถาเรื่อง “การปฏิรูปการเมืองภายใต้หลักนิติธรรม” เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 เพื่อ “....สถาปนาอำนาจตุลาการ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์...เป็นการปูทางไปสู่คำวินิจฉัยที่จะสร้างสุญญากาศทางการเมืองตามที่กลุ่ม กปปส. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มต้องการ เพื่อนำไปสู่การทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งมีการอ้างมาตรา 3 และมาตรา 7 ....”
ทั้งๆที่ข้าพเจ้าไม่เคยพูดข้อความในเครื่องหมายคำพูดนั้นในการแสดงปาฐกถา หรือในที่ใดเลย เป็นการที่ ศอ.รส. คิดเอาเอง พูดเอง ใส่ความผู้อื่นให้ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่มีความเป็นปกติไม่กระทำกัน ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชี้แจงการกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง และปราศจากความเป็นธรรมของ ศอ.รส. ดังนี้
1.การที่ ศอ.รส. กล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญ ว่าศาลใช้ข้อกำหนดว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ที่ศาลทำขึ้นเอง ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และต้องตรา 2 กฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 แล้ว ศอ.รส. ก็สรุปด้วยความเป็นเท็จชัดแจ้งว่า “แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยดำเนินการให้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว เมื่อวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ในรูปแบบของกฎหมาย จึงทำให้สาธารณชนเกิดความสับสนต่อการทำหน้าที่ว่าเป็นไปตามหลักยุติธรรม และถูกต้องตามหลักความยุติธรรมหรือไม่ และอาจส่งผลให้การวินิจฉัยคดีไม่มีมาตรฐานขาดความชัดเจน เพราะไม่มีกรอบในการใช้อำนาจ”
ในความเป็นจริง ศาลรัฐธรรมนูญเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้สภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ถูกใช้อำนาจการเมืองถ่วงการพิจารณา กล่าวคือ ครั้งแรกศาลรัฐธรรมนูญเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ... ต่อ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 25 มิถุนายน 2551 อยู่ภายใน 1 ปี นับแต่ใช้รัฐธรรมนูญ แต่ถูกฝ่ายการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรถอนเรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วกลับไป โดยอ้างว่าจะทบทวนใหม่เมื่อ 28 ตุลาคม 2552 แล้วไม่ได้ทำอะไรจนสภายุบไปเมื่อ 10 พฤษภาคม 2554 เมื่อมีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้ขอให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใหม่ (ซึ่งถ้าขอก็ทาได้) ทำให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ตกไปในเดือนกันยายน 2554
ครั้งที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใหม่ เมื่อ 22 มีนาคม 2555 แต่จนถึงวันนี้ สภาผู้แทนราษฎรที่เสียงข้างมากเป็นของรัฐบาลยังไม่ได้หยิบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ขึ้นพิจารณา คงปล่อยให้ค้างคาอยู่เช่นนั้น
“การที่ ศอ.รส. มาบิดเบือนข้อมูลที่ตรวจสอบได้ เพื่อโจมตีศาลรัฐธรรมนูญ จึงเห็นได้ชัดว่า นำความเท็จมากล่าวอ้างเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาลและเสียงข้างมาก ซึ่งเป็นผู้ “ดอง” ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวเสียเอง การกล่าวหาความผิดผู้อื่นโดยไม่มีมูล แต่ละเว้นที่จะพิจารณาความผิดของพวกตนเองว่าอาจเข้าข่าย จงใจใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญนั้น มิใช่วิสัยของหน่วยงานของรัฐที่ดี และเป็นกลาง แต่แสดงออกซึ่งการเอาใจ “นาย” โดยไร้ความสำนึกรับผิดชอบ”
นอกจากร่าง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญถูกดองในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตาแหน่งทางการเมือง พ.ศ. .... (ที่ประธานศาลฎีกาเสนอ) และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ..... (ที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ) ก็เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณามาตั้งแต่ปี 2551 แต่ถูก “ดอง” อยู่ในสภามาจนถึงทุกวันนี้กว่า 6 ปีแล้ว
“คำถามที่ต้องตอบในวันนี้ คือ ใครเป็นผู้รับผิดชอบในการจงใจใช้อำนาจนิติบัญญัติให้ขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งโดยถ่วงเวลาไม่พิจารณาให้เสร็จภายใน 1 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด?”
2.การที่ ศอ.รส.นำความเพียงบางส่วนของคาปาฐกถาของข้าพเจ้ามาอ้างก็ดี นาคาบรรยายเรื่อง “เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งข้าพเจ้าไปบรรยายให้ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 18 กันยายน 2541 และมีการถอดเทปคำบรรยายมาลงพิมพ์ในวารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปี ที่1. ม.ค.-เม.ย. 2542 หน้า30-47 มาอ้างก็ดี เป็นการ “ตัดต่อ” ข้อความทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ดังนั้น ข้าพเจ้าจะขอนำบทปาฐกถาเรื่อง “การปฏิรูปการเมืองตามหลักนิติธรรม” ที่แสดงเมื่อ 24 เมษายน 2557 ในโอกาสวันสถาปนาศาลรัฐธรรมนูญและคำบรรยายเรื่อง “เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ” ตั้งแต่ปี 2541 ไปลงพิมพ์ให้อ่านความเต็มใจใน www.kpi.ac.th เพื่อวิญญูชนที่ใจเป็นธรรมได้อ่านเนื้อเต็ม โดยไม่ต้องถูกบิดเบือน
ในคำบรรยายที่ข้าพเจ้าได้บรรยายไว้เมื่อปี 2541 ข้าพเจ้ากล่าวว่า “.....ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีอันอยู่ในเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้วนั้นเองแหละ จึงจะผูกพันศาลอื่น แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัยคดีซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจ4 ศาลรัฐธรรมนูญแล้วความผูกพันต่อศาลอื่นก็ไม่มี....” (หน้า 31) คำบรรยายนี้ตรงไปตรงมา เช่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติบางมาตราขัดรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยก็ผูกพันทั้งรัฐสภา ครม.ศาล และองค์กรอื่นทั้งหมด แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัยคดีแพ่งให้ลูกหนี้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ ซึ่งใครๆก็รู้ว่าไม่ใช่อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ จะให้คำวินิจฉัยนอกอำนาจนี้ไปผูกพันองค์กรใดๆก็ไม่ได้ ปัญหาจึงอยู่ที่ ใครจะเป็นผู้วินิจฉัยว่าเรื่องใดอยู่ในอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ?
คำบรรยายดังกล่าวหน้า 32 ก็ตอบไว้ว่า “....ดังนั้นหากเกิดปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญขึ้น ผู้ที่จะมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญนั่นเองในทางกฎหมาย แต่ในเวลาเดียวกันในทางการเมือง องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญก็ย่อมมีอำนาจและเอกสิทธิที่จะพิจารณาการวินิจฉัยเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญว่าชอบหรือไม่ ด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในทางขยายเขตอำนาจของตน จนทำลายเขตอำนาจของศาลหรือองค์กรอาน องค์กรเหล่านั้นก็ย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิและอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินการเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งจะทำให้การใช้อำนาจมีการดุลและคานกัน” (ข้อความนี้ ศอ.รศ.อ้างในแถลงการณ์มาจากบทบรรยายข้าพเจ้าหน้า 32 ตัวหนามีในต้นฉบับเดิม)
แต่ที่ ศอ.รส.ไม่ได้อ้าง แต่เป็นคำบรรยายของข้าพเจ้าตอนต่อมาในหน้า 32 มีความว่า “...ถ้าเป็นเรื่องที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะมีความสำคัญสูงสุด คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะผูกพันทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล หรือองค์กรอื่น..... ความสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาพิพากษาอรรถคดีในเขตอำนาจของตนเองนั้นเป็นความสำคัญสูงสุดที่รัฐสภาและศาลอื่นจะก้าวล่วงมิได้” (ข้อความตัวหนานี้มีอยู่ในต้นฉบับคำบรรยาย)
ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้ามาปาฐกถาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 โดยมีข้อความซึ่ง ศอ.รส. อ้างไว้ในข้อ 5 ต่อไป ว่า “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายผูกพันทุกองค์กร ทั้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 ได้บัญญัติไว้ แสดงให้เห็นว่า การยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์นิติธรรม ควบคุมกฎหมาย เพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นการป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมาทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง” จึงเป็นการยืนยันสิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายในปี 2541 และเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่ใช้ในปัจจุบันบัญญัติไว้ในมาตรา 216 วรรค 5 ว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ” และในมาตรา 27 ว่า “สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้งโดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมได้รับความคุ้มครอง และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง”
ก็เมื่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันรัฐสภาในการตรากฎหมาย ผูกพันคณะรัฐมนตรีในการใช้บังคับกฎหมาย และผูกพันศาลและองค์กรอื่นในการตีความจึงถือว่าศาลรัฐธรรมนูญมีสถานะไม่ด้อยกว่ารัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลอื่น ทั้งคำวินิจฉัยก็มีผลผูกพันทั่วไป (erga omnes) เหมือนกฎหมาย ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ในคำบรรยายข้าพเจ้าเมื่อปี 2541 (หน้า 33 ) ว่า “เมื่อเป็นดังนี้ ศาลรัฐธรรมนูญในทางวิชาการจึงต้องถือว่าเป็นศาลที่มีอำนาจนิติบัญญัติในทางปฏิเสธ กระผมไม่ได้เอามาพูดเองนะครับ.คนที่พูดเรื่องนี้ไว้ก็คือ Hans Kelsen ซึ่งเป็นเจ้าของทฤษฎีของการก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นครั้งแรกในโลก”
แต่ ศอ.รส.หาได้อ้างคำบรรยายของข้าพเจ้าให้ถูกไม่ กลับสรุปผิดๆเอาเองว่า “เป็นการยกสถานะของศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันให้อยู่เหนือองค์กรอื่นโดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เป็นการสถาปนาอำนาจตุลาการโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์” และคิดเองเออเองว่า “ นายบวรศักดิ์ฯ มีแนวคิดและความมุ่งหมายเป็นการแสดงความรับรู้การใช้อำนาจตามอำเภอใจของศาลรัฐธรรมนูญ และบังคับให้องค์กรอื่นที่มีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญดุจเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญต้องยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...”
และ “...คำอภิปรายดังกล่าวเห็นได้ว่า มีความมุ่งหมายที่จะแสดงความชอบธรรมว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมความชอบธรรมด้วยรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง แม้ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ และยืนกรานให้องค์กรอื่นต้องเคารพคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ....”
หากผู้มีจิตใจเที่ยงธรรมอ่านคำปาฐกถาที่ ศอ.รส.อ้างมาข้างต้นทั้งหมดก็จะพบว่า ข้าพเจ้าได้ยืนยันว่า 1.ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยเขตอำนาจของตนเอง 2. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าศาลมีเขตอำนาจในเรื่องนั้นก็จะเป็นข้อยุติทำงกฎหมาย ไม่มีที่อุทธรณ์ฎีกาอีก และมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศำลและองค์กรอื่นทั้งหมด ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าคำวินิจฉัยศำลรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมาย (เพราะมีผลทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคดีอย่างคำพิพากษาศาลอื่น) อันแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญยกสถานะของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพราะใช้อำนาจยกเลิกกฎหมายที่สภาออกมาได้
ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ตามที่ ศอ.รส. กล่าวอ้าง ข้าพเจ้าไม่เคยแสดง ณ ที่ใดๆให้ “รับรู้การใช้อำนาจตามอำเภอใจของศาลรัฐธรรมนูญ” และข้าพเจ้ายิ่งไม่อาจ “มีความมุ่งหมายที่จะแสดงความชอบธรรมว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง แม้ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้” ข้อความเหล่านี้เป็นการ “ปั้นน้าเป็นตัว” อย่างแท้จริง ทั้งที่ใครอ่านบทปาฐกถา และบทบรรยายเมื่อปี 2541 ของข้าพเจ้าแล้ว จะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้ายืนยันมาตลอดว่า ศาลรัฐธรรมนูญต้องตัดสินเฉพาะเรื่องที่อยู่ในเขตอำนาจ และศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลยกเว้น ไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจทั่วไปเหมือนศาลยุติธรรม จึงต้องวินิจฉัยคดีเฉพาะที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้
3.สิ่งที่ข้าพเจ้า ศอ.รส. และรัฐบาลอาจเห็นไม่ตรงกันก็คือ ข้าพเจ้าเห็นว่า “การยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์นิติธรรม ควบคุมกฎหมายเพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นการป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมาทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง”
ข้าพเจ้าเห็นว่าการควบคุมร่างรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายข้างมากใช้วิธีการที่มิชอบหลายประการ ผลักดันเพื่อให้แก้หลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญวางไว้ เป็นอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะควบคุมดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 291 (1) วรรคสอง ที่ว่า “ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้” เมื่อรัฐธรรมนูญห้ามแก้รัฐธรรมนูญเรื่องนี้ ใครเล่าจะเป็นคนวินิจฉัยว่าทำได้หรือไม่ ถ้าให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัย หรือแม้แต่รัฐสภาวินิจฉัย ก็จะไม่มีทางใช้มาตรานี้ได้หากผู้เสนอแก้คือ ฝ่ายเสียงข้างมาก
ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเราไม่อาจให้สภาซึ่งเป็นผู้มีส่วนเสนอและพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้วินิจฉัยเสียเอง เพราะจะขัดกับหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ (natural justice) ที่ว่า “ไม่มีใครจะเป็นผู้พิพากษาเรื่องที่ตนมีส่วนได้เสียอยู่เองได้” (no man can be a judge in his own cause) เมื่อสภาเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่อาจตัดสินสิ่งที่ตนทำได้แล้ว องค์กรที่มีหน้าที่ตัดสินคดีรัฐธรรมนูญโดยตรงก็คือศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งกระบวนการและเนื้อหา
“จุดนี้เอง รัฐบาลและ ศอ.รส.เห็นต่าง จากข้าพเจ้าดังเห็นได้จากการแสดงความเห็นทั้งเป็นทางการ และไม่เป็นทางการโจมตีศาลรัฐธรรมนูญว่าตัดสินไปโดยไม่มีอำนาจ ตัดสินไปโดยขัดหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตย ฯลฯ และดังปรากฏในแถลงการณ์ของ ศอ.รส.ฉบับก่อนๆ และคนสำคัญของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล จนถึงขั้นออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล บ้างก็ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อตุลาการผู้วินิจฉัยคดี!”
แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้ และศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน ศาลรัฐธรรมนูญออสเตรีย ศาลฎีกาสหรัฐอเมริกา ศาลฎีกาอินเดีย ฯลฯ ต่างควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาทั้งสิ้นเพื่อรักษา “ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” และ “นิติธรรม” ให้พ้นเงื้อมมือเสียงข้างมากที่เผด็จการ (ดูงานวิจัยเรื่อง “กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในต่างประเทศ” โดย ชมพูนุท ตั้งถาวร 2556 ซึ่งข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษา)
ความเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองของ ศอ.รส.และบรรดาผู้สนับสนุนเสียงข้างมาก และต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญนี้เอง ทำให้ปาฐกถาทางวิชาการแท้ๆของข้าพเจ้าที่ไม่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองใดๆ ไปจี้จุดในใจของเขาเหล่านั้นให้กรูกันออกมารุมวิพากษ์วิจารณ์ข้าพเจ้าอย่างกราดเกรี้ยวไม่สมฐานะของหน่วยงานรักษาความสงบเรียบร้อย แต่กลับไปละม้ายคล้ายเสียงวิจารณ์ของฝูงชนที่ชุมนุมกันมากกว่า ทำให้เนื้อหาและถ้อยคำของแถลงการณ์แต่ละฉบับไม่ใช่สิ่งที่เป็นระเบียบแบบแผนที่ดีของทางราชการ
4.ที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวว่า “หากเกิดปัญหาเรื่องเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญขึ้น ผู้ที่จะมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญนั่งเองในทางกฎหมาย แต่ในเวลาเดียวกันในทางการเมือง องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญก็ย่อมมีอำนาจและเอกสิทธิ์ที่จะพิจารณาการวินิจฉัยเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในทางขยายเขตอำนาจของตนจนทำลายเขตอำนาจของศาลอื่นหรือองค์กรอื่น องค์กรเหล่านั้นก็ย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิและอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้การใช้อำนาจมีการดุลคานกัน”
ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันเหมือนเดิม และยิ่งมีความมั่นใจเพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของวุฒิสภา ในคำวินิจฉัยที่ 15-18/2556 ซึ่งเป็นยุติทางกฎหมายนั้น ก็ปรากฏว่าเกิดการตอบโต้ทางการเมืองจากคนสำคัญของรัฐบาล ของรัฐสภาและของพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล ไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการฝ่ายข้างมาก ศอ.รส. ก็ร่วมออกแถลงการณ์กดดันศาลด้วย ตรงตามที่ข้าพเจ้าได้พูดไว้ในปี 2541 ทุกประการแล้ว แต่ที่ยังไม่เกิดก็คือ รัฐบาลยังไม่อาจดำเนินการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญ หรือลดอำนาจศาลแต่อย่างใด เพราะมีกลุ่มประชาชนที่ทนไม่ได้ออกมาปกป้องศาล และต่อต้านฝ่ายเสียงข้างมากจนต้องยุบสภาดังทีทราบกันดีอยู่ทั่วไป ความรุนแรงที่หากจะเกิดขึ้นตามที่ ศอ.รส.พยายามอ้าง ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายกลับไม่เคารพศาล ไม่รักษากฎหมายและนิติธรรมนั้นเสียเอง!
ต่อไปหากมีการเลือกตั้งทั่วไป ก็อาจมีความพยายามตอบโต้ศาลด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอีก เหมือนที่ในอินเดีย นางอินทิรา คานธี หัวหน้าพรรคคองเกรส เคยทำเมื่อชนะเลือกตั้งท่วมท้นและมาแก้รัฐธรรมนูญตัดอำนาจศาลฎีกาอินเดียซึ่งเคยพิพากษาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลพรรคคองเกรสไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยให้รัฐสภามีอำนาจไม่จำกัดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ถูกศาลฎีกาอินเดียในคดี Minerva Mills Ltd. U Union of India (1980) ตัดสินว่าการแก้รัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจรัฐสภาให้แก้รัฐธรรมนูญอย่างไรก็ได้โดยไม่มีข้อจำกัด ขัดโครงสร้างพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ ! เป็นอันว่าศาลฎีกาอินเดียยังคงเป็นก้างขวางคอพรรครัฐบาลเสียงข้างมากของอินเดียมาจนถึงทุกวันนี้
ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีมากาแรต แทชเชอร์ของอังกฤษกล่าวไว้ในอดีตยังคงเป็นความจริงในวันนี้ จึงเป็นข้ออ้างมาเป็นบทสรุปคำชี้แจงนี้ ว่า “การเป็นประชาธิปไตยยังไม่เพียงพอ เสียงข้างมากไม่อาจเปลี่ยนสิ่งที่ผิดให้ถูกได้ หากจะเป็นประเทศเสรีจริงๆ ประเทศนั้นต้องมีความรักที่ลึกซึ้งต่อเสรีภาพ และเคารพหลักนิติธรรมอย่างผูกพันไม่เสื่อมคลาย”
“Being democratic is not enough, a majority cannot turn what is wrong into right. In order to be considered truly free, countries must also have a deep love of liberty and an abiding respect for the rule of law” Margaret Thatcher