ส.ว.รสนา เชื่อเร่งเลือกตั้ง คนได้ประโยชน์คือนักการเมือง
ส.ว.รสนา โตสิตระกูล ชี้ระบบอุปถัมภ์คือศัตรูการสร้างความเข้มแข็งของภาคพลเมือง ย้ำหากอยากรักษาประชาธิปไตยต้องสร้างความเปลี่ยนแปลง ระบุเร่งการเลือกตั้งไม่ใช่การคืนอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง เผยคนได้ประโยชน์คือนักการเมือง
วันที่ 22 เมษายน 2557 กองทุนภาคประชาสังคม: เพิ่มพลังพลเมือง สู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ จัดเสวนาครั้งที่ 1 ในหัวข้อ “ระบบอุปถัมภ์ กับการสร้างความเข้มแข็งภาคพลเมือง” ณ ห้องปทุมวัน ชั้น 2 โรงแรมเอเชีย ราชเทวี กรุงเทพ ฯ
นางสาวรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร กล่าวถึงระบบอุปถัมภ์เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมและเป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง ขณะที่ความสัมพันธ์ของเครือข่ายสังคมเป็นแนวราบ ซึ่งเป็นลักษณะที่มีความแตกต่างกันมากพอสมควร ทั้งนี้สังคมไทยยังคงเป็นสังคมที่อยู่ในวัฒนธรรมดั้งเดิมผูกพันกับระบบอุปถัมภ์ พระราชปณิธานของรัชกาลที่ 1 เคยกล่าวไว้ว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภ์ภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี” นั่นหมายความว่า ท่านจะขออุปถัมภ์ไพร่พลและมนตรีซึ่งหมายถึงประชาชนและข้าราชการ แต่ปัญหาขณะนี้คือพระราชปณิธานเปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคที่ฝรั่งเรียกว่า ยุคจักรีรีฟอร์ม เป็นกระบวนการที่สังคมมีการขับเคลื่อน
นางสาวรสนา กล่าวอีกว่า ในยุคนั้นมีการปฏิรูประบบราชการใหม่โดยอาศัยสถานการณ์โลกเพื่อให้ระบบในประเทศไทยสอดคล้องกับประเทศตะวันตก เปลี่ยนจากไพร่ที่เคยสังกัดกับมูลนายมาทำให้เป็นระบบราชการ และสิ่งที่สำคัญ คือ ยุคนั้นต้องการขจัดระบบอุปถัมภ์แยกออกไปจากตัวสถาบัน มีการส่งคนหนุ่มสาวไปเรียนต่างประเทศเพื่อมาวางกฎหมายต่างๆ ทำให้ขุนนางที่กำลังตั้งก๊กรวมกลุ่มกันในยุคนั้นถูกสอบสวนและถูกยึดทรัพย์เป็นจำนวนมาก
สำหรับกองทุนภาคประชาสังคมที่กำลังเกิดขึ้นนี้ นางสาวรสนา กล่าวว่า ทำให้เรามองเห็นว่าระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถึงแม้จะใช้ระบบอุปถัมภ์แต่ก็ไม่ได้ใช้ถึงขั้นปลดคนต่างๆ และมาแต่งตั้งให้เป็นประโยชน์ แต่หากเป็นในลักษณะเกื้อกูลและช่วยเหลือกันมากกว่า
"ปัญหาเวลานี้คือกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยยังไปไม่ถึงความปรารถนาของประชาชน นักการเมืองใช้ระบบอุปถัมภ์มาสร้างระบบใหม่สวมทับ เอาระบบประชานิยมเข้ามาแทนที่ ที่สำคัญระบบอุปถัมภ์ไม่สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชน และทำให้นักการเมืองที่เข้ามารู้สึกว่ามีอำนาจเหนือกว่า สมัยก่อนอาจจะเป็นไพร่ฟ้าประชาชี แต่ตอนนี้คือไพร่เพื่อทัก" ส.ว.กทม.กล่าว และว่า ทุกวันนี้อาจจะเรียกกว่าตั้งใจจะอุปถัมภ์ภก ยอยกความโลภและตัณหา ใช้ประชานิยมและเงินตรา มอมเมาประชาชนและมนตรี
นางสาวรสนา กล่าวถึงนักเลือกตั้งคือนักคณิตศาสตร์ จะคำนวณว่าในสภา 500 คน หากอยากได้เสียง 300 ต้องใช้เงินเท่าไร เป็นระบบแบบ MLM เป็นการขายตรงทางการเมืองมีการสร้างเครือข่ายพนักงาน อยากชนะเลือกตั้งให้ซื้อหัวคะแนนลงทุนครั้งไหนไม่มีทางพลาด ซึ่งหากอยากให้ประชาธิปไตยดำรงต่อไปได้เราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ให้นักการเมืองมาครอบงำ
"ขณะนี้ประชาชนตื่นตัวและเห็นว่ากระบวนการเลือกตั้งขณะนี้เปรียบเสมือนสายพานโรงงานอุตสาหกรรม คือไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ซึ่งการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดแท้จริงไม่ใช่การคืนอำนาจให้ประชาชน แต่คือการคืนอำนาจให้นักการเมือง ถ้าเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็เสร็จนักการเมืองเมื่อนั้น ดังนั้นการจะสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนจะต้องไม่สร้างแค่เพียงกองทุนประชาสังคมอย่างเดียว แต่เราต้องพยายามแก้ไขให้ทรัพยากรทั้งหลายที่เป็นของประชาชนกลับมาเป็นทุนของประชาชน ไม่ใช่ใช้ทรัพยากรไปสร้างความร่ำรวยกับคนกลุ่มน้อย ปล่อยให้คนยากจนตกอยู่ในสภาพที่พึ่งตัวเองไม่ได้ และมีการแบ่งชนชั้น รวมถึงระบบอุปถัมภ์คือศัตรูของการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชน” นางสาวรสนา กล่าวทิ้งท้าย