"เพื่อไทย" ออกแถลงการณ์ 7 ข้อ ย้ำเลือกตั้งคือทางออกประเทศ
"พท.ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ ตระหนักว่า ทางออกจากความขัดแย้งและความพยายามให้เกิดสุญญากาศนั้น มีเพียงวิธีการเดียวคือการฟังเสียงประชาชน"
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2557 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) สมาชิกพท. 20 คน นำโดย นายวิโรจน์ เปาอินทร์ รองหัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค นายโภคิน พลกุล คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค ร่วมอ่านแถลงการณ์ของพท. เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองดังนี้
1.ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยขณะนี้ และมีแนวโน้มว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นกลียุคได้นั้น พท.เห็นพ้องด้วยกับหลายฝ่ายว่า มีสาเหตุหลักมาจากความพยายามของกลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองบางพรรคที่ไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมรับและเคารพในอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและการตัดสินใจของประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ไม่เคารพกติกาของบ้านเมือง พวกเขาจึงร่วมมือกันปฏิเสธการเลือกตั้ง และจงใจขัดขวางกระบวนการเลือกตั้งทุกขั้นตอน
2. พท.ขอเรียนพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนทุกระดับว่า การสมคบคิดและการดำเนินการเพื่อไปสู่ความมุ่งหมายดังกล่าว เป็นความคิดและการกระทำที่จะเป็นต้นเหตุสำคัญที่สุดของความพินาศของชาติ เพราะเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักสากลและประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันดีงามของประเทศไทยอย่างชัดแจ้ง เป็นการยั่วยุให้เกิดความแตกแยกและเกลียดชังในหมู่ประชาชน เป็นความต้องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
3.พท.ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักว่า ทางออกจากความขัดแย้งและความพยายามให้เกิดสุญญากาศนั้น มีเพียงวิธีการเดียวคือการฟังเสียงประชาชน ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติดังที่ศาลรัฐธรรมนูญในคำวินิจฉัยที่ 9/2549 วันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ระบุว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปที่เกิดขึ้นภายหลังจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ มีสาเหตุตามที่ปรากฏในพ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2549 สรุปได้ว่ามีการเกิดการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องทางการเมือง โดยการชุมนุมเรียกร้องดังกล่าวได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความคิดเห็นในสังคมที่หลากหลายและยังคงแตกต่างกันจนกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเช่นนี้
การดำเนินการเพื่อตรวจสอบความประสงค์อันแท้จริงของประชาชน โดยประการอื่นเพื่อให้ทุกฝ่ายหยั่งทราบแล้วยอมรับให้เป็นไปตามกลไกในระบอบประชาธิปไตยก็ทำได้ยาก ทางออกในระบอบประชาธิปไตยที่เคยปฏิบัติมาในนานาประเทศและแม้แต่ในประเทศไทย คือ การคืนอำนาจตัดสินใจทางการเมืองกลับไปสู่ประชาชนด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปขึ้นใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไป
4.พท.ขอยืนยันความเห็นตามหนังสือของพรรคการเมืองทั้งหลายที่มีถึงศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 31 มีนาคม 2557 โดยสรุปคือ ขอให้ กกต. ดำเนินการจัดการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่โดยเร่งด่วนภายใน 45-60 วัน นับตั้งแต่วันที่ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2557 ที่วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มีผลใช้บังคับ คือวันที่ 27 มีนาคม 2557 แต่บัดนี้เวลาได้ล่วงเลยมาเกือบ 1 เดือน หลังคำวินิจฉัยมีผลบังคับใช้แล้ว กกต. ก็ยังไม่มีท่าทีกระตือรือร้นเพื่อทำหน้าที่
5.แม้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2557 จะเป็นคำวินิจฉัยที่แปลกเพราะไม่ปกป้องคนสุจริตที่เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง แต่ก่อให้เกิดผลที่ไปรับรองความมุ่งหมายของคนไม่สุจริตที่ไม่ร่วมมือและขัดขวางการเลือกตั้งเพื่อไปสู่สุญญากาศ อย่างไรก็ตามศาลก็มิได้วินิจฉัยเลยว่า การเลือกตั้ง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม แต่ให้เหตุผลว่าการเลือกตั้งไม่อาจเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรได้ เพราะการรับสมัครผู้สมัครฯ ใน 28 เขตเลือกตั้งไม่อาจทำได้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งและแตกแยกของชนในชาติอย่างรุนแรงและมีการขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้นขอให้ฝ่ายที่ไม่ร่วมมือและขัดขวางการเลือกตั้งอย่าได้อ้างว่าถ้ามีการเลือกตั้งแล้วจะไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เพราะเท่ากับเป็นการดูถูก กกต. ว่าจะไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้สุจริตและเที่ยงธรรมได้
6.พท.ขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เห็นความสำคัญของการฟังเสียงประชาชน ด้วยการให้ความร่วมมือในทุกขั้นตอนของกระบวนการเลือกตั้ง และขอให้ทุกฝ่ายหยุดการใช้วาทกรรมและการกระทำที่เป็นการสร้างความเคลือบแคลงหรือขัดขวางการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย
7.พท.ขอให้พี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนร่วมมือกันยืนหยัดพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย และใช้วิจารณญาณของท่านโดยสุจริตและไม่เห็นแก่ผู้ใดหรือสิ่งใด ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ และขอให้ทุกท่านทราบด้วยว่า หากมีบุคคลใดหรือองค์กรใด การกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ท่านทุกคนมีสิทธิต่อต้านการกระทำดังกล่าวโดยสันติวิธี (รัฐธรรมนูญ มาตรา 69)