"ที่มา"นายกฯเฉพาะกาล" แทน "มาตรา7" แทน "ยิ่งลักษณ์" ฉบับ "ไพบูลย์"
“...นายกฯ เฉพาะกาลมีได้โดยอนุโลม ตามมาตรา 180 ซึ่งก็โยงไปมาตรา 171 และมาตรา 172 ก็ได้ ผมไม่พูดถึงมาตรา 7 เพราะสำหรับผมแล้ว การที่มีนายกฯ เฉพาะกาล ที่มาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคท้าย นั่นหมายความว่าทุกอย่างดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น.."
"โดยส่วนแล้ว ไม่เคยคิดพึ่งมาตรา 7 เพราะผมยึดตามกรอบรัฐธรรมนูญที่มีทางออกอยู่แล้ว หากเกิดกรณีที่ นายกฯ และครม.รักษาการ พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ เมื่อนั้น นายกฯเฉพาะกาลย่อมเกิดขึ้นได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคท้ายที่โยงไปถึงมาตรา 172 และมาตรา 173 โดยไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 7 ที่มักถูกหยิบยกมาเป็นข้อโต้เถียงในสังคม"
นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันการทุจริตและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ร่วมกับ ส.ว. อีก 28 คน เข้าชื่อต่อประธานวุฒสภา ส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สิ้นสุดลง ตามมาตรา 182 วรรค ( 7 ) ประกอบมาตรา 268 กรณีการโยกย้ายตำแหน่งนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)
ยืนยันกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงแนวคิดการแต่งตั้งนายกฯ ขึ้นมาบริหารงานประเทศแทนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่อาจสิ้นสุดลงจากคดีการโยกย้ายตำแหน่งนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ถูกกำลังข้อถกเถียงจากหลายฝ่ายในสังคม ว่า อาจจะเป็นช่องทางนำไปสู่การเสนอนายกฯ ตามมาตรา 7
“มาตรา 180 วรรคท้ายบัญญัติไว้ว่าตามอนุโลม ซึ่งเปิดกว้างมาก ดังนั้น สำหรับผม มาตรา 7 ไม่จำเป็นเลย จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 180 เขียนไว้แล้วอย่างเปิดกว้างโดยสถานการณ์”
โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 มาตรา 172 และ มาตรา 173 ที่นายไพบูลย์ เอ่ยถึงมีรายละเอียดบัญญัติไว้ดังนี้
"มาตรา 180 รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(1) ความเป็นรัฐมนตรี ของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามาตรา 182
( 2) อายุสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
( 3 ) คณะรัฐมนตรีลาออก
ในกรณีที่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามาตรา 182 (1) (2) (3) (4) (5) (7) หรือ (8) ให้ดำเนินการตามมาตรา 172 และมาตรา 173 โดยอนุโลม
ขณะที่ มาตรา 172 บัญญัติว่าให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกตามมาตรา 127, การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรรับรอง, มติของสภาผู้แทนราษฎร ที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การลงมติในกรณีเช่นว่านี้ ให้กระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย
ส่วนมาตรา 173 บัญญัติว่า ในกรณีที่พ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มาประชุมเป็นครั้งแรกแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 172 วรรคสาม,ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำความขึ้นกราบบังคมทูลภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลซึ่งได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี
นายไพบูลย์กล่าวว่าหากเกิดกรณีที่นายกฯ และครม.ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ นายกฯ เฉพาะกาล จะมีขึ้นได้ตามรัฐธรรมนูญในมาตราดังที่กล่าวมา
“นายกฯ เฉพาะกาลมีได้โดยอนุโลม ตามมาตรา 180 ซึ่งก็โยงไปมาตรา 171 และมาตรา 172 ก็ได้ ผมไม่พูดถึงมาตรา 7 เพราะสำหรับผมแล้ว การที่มีนายกฯ เฉพาะกาล ที่มาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคท้าย นั่นหมายความว่าทุกอย่างดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น จากนั้น เมื่อได้นายกฯ เฉพาะกาลขึ้นมา นายกฯ คนนี้ก็ต้องดำเนินการให้ ครม. รักษาการ พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 183 แล้วตั้ง ครม. ชุดใหม่ ตามรัฐธรรมนูญ”
นอกจากนี้ นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงการทำหน้าที่ของนายกฯ เฉพาะกาลว่า
“เมื่อนายกฯ เฉพาะกาลเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ก็ต้องแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร แต่เมื่อไม่มีสภาฯ ให้แถลง ก็ต้องทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคท้ายที่บัญญัตว่า “โดยอนุโลม” ก็คือต้องแถลงให้วุฒิสภารับทราบ แล้วจากนั้นก็ไปบริหาร ทำทุกอย่างไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งปัญหาในระบอบพรรคการเมืองนายทุนที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็มีปัญหาอยู่ในกฎหมายทั้งนั้น ปัญหาบางส่วนก็อยู่ในรัฐธรรมนูญ บางส่วนอยู่ในชั้นกฎหมาย เช่น ระเบียบ องค์กร ต่างๆ ซึ่งปัญหาที่อยู่ในชั้นรัฐธรรมนูญนั้น นายกฯ เฉพาะกาล ไปแก้ไม่ได้ แต่กฎหมายอื่นๆ ที่เป็นปัญหา เช่นกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายเกี่ยวกับการปราบปรามกรรทุจริตบางข้อสามารถแก้ได้ เท่าที่ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”
นายไพบูลย์กล่าวด้วยว่านายกฯ เฉพาะกาล ที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เพื่อปฏิรูปประเทศ สามารถออกพระราชกำหนด ปฏิรูปประเทศไทย เพื่อให้มีการดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ข้อระเบียบต่างๆ ที่สามารถทำได้เท่าที่ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ส่วนไหนที่ถึงขั้นจะต้องไปเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ นายกฯ เฉพาะกาล จะมีอำนาจเพียงตั้งคณะออกกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปประเทศไทย โดยตราเป็นพระราชกำหนด ประกอบด้วยบุคคคลต่างๆ แล้วก็นำเสนอมาในส่วนการแก้รัฐธรรมนูญ ว่าถ้าจะปฏิรูปประเทศไทย จะแก้ รัฐธรรมนูญมาตราใด และนายกฯ ท่านนี้ สามารถใช้มติครม. ให้ประชาชนทั้งประเทศ ทำประชามติ โดยมีผลผูกพันรัฐสภาใหม่ที่เข้ามาใหม่ เพื่อให้รัฐสภาที่มาใหม่ ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนุญตามที่ประชาชนลงประชามติ
“วิธีของผม คือทุกอย่างต้องให้เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อนายกฯเฉพาะกาลเข้ามา ในช่วง 6 เดือนแรก ออก พรก. ต่างๆ ในเรื่องของการตั้งกฎว่าด้วยการปฏิรูปประเทศไทยแล้ว จากนั้นก็เตรียมการณ์สำหรับการทำประชามติ ซึ่งก็อาจใช้เวลาอีก 6 เดือน รวมแล้วอาจใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงสามารถจัดการเลือกตั้งได้” นายไพบูลย์ระบุ
นายไพบูลย์ ระบุด้วยว่า ในความเห็นของตน กฎหมายที่สมควรต้องแก้ไข เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. ควรแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง โดยจำกัดระยะเวลาหาเสียงให้สั้นลง 2.ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงทั้งหมด ควรทำเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นคือไม่ให้ติดประกาศ โดยมอบอำนาจหน้าที่ให้ กกต. เป็นผู้ทำแผ่นป้ายโฆษณาให้ เพื่อไม่ให้ผู้ที่มาเลือกตั้งจะต้องไปเสียเงินในการจัดทำป้ายโฆษณา เพราะเป็นช่องทางที่อาจจะทำให้ตกเป็นเป็นทาสนายทุน ที่ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ป้าย
“ประเด็นสำคัญประการต่อมาคือ แก้ไขกฎหมายเรื่องการหาเสียง ให้หาเสียงได้เฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนฯ การหาเสียงของคุณต้องไม่ใช่ไปพูดแบบฝ่ายบริหาร อย่างเรื่องนโยบายจำนำข้าว นั่นเป็นเรื่อง ครม. ไปพูดไม่ได้ คุณต้องพูดในสิ่งที่เป็นหน้าที่ของคุณ นั่นคือ ส.ส พูดได้เฉพาะเรื่องการแก้กฎหมาย ห้ามพูดเรื่องนโยบายของฝ่ายบริหาร เพราะ ส.ส. อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เหมือนสว. อันนี้ แต่ที่ผ่านมานโยบายการหาเสียง มันสะท้อนว่าคุณมาเพื่อตั้งใจจะไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร ขณะที่บทบาท หน้าที่สำคัญของคุณในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ คือการพิจารณากฎหมายต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญคุณไม่ทำเลย” นายไพบูลย์ระบุ
ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายว่าแม้ตนเคารพและยึดตามรัฐธรรมนูญเสมอ แต่มิได้หมายความว่ารัฐธรรมนูญนั้น แก้ไม่ได้
"ผมยืนยันว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขได้ แต่ต้องเพื่อให้เป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่ยังไม่เป็นไปตามหลักการที่ควรส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยตรง ที่ผ่านมาไม่มีกฎหมายที่ให้อำนาจประชาชนตรงนี้ คือ มีเขียนไว้ในหลักการแต่เมื่อไปออกกฎหมายให้ประชาชนเช่น ให้สามารถตรวจสอบผู้ไต่สวนอิสระได้ เมื่อไปถึงสภาฯ ก็ไม่ออกกฎหมายนี้ และผมสนับสนุนให้ออกกฎหมายว่าประชาชนต้องเข้าถึงข้อมูลขององค์กร หน่วยงานรัฐ ต้องสามารถตรวจสอบได้"
"แต่ที่ผ่านมาเมื่อประชาชนไปขอข้อมูลแล้ว เขาไม่ให้ ดังนั้น นายกฯ เฉพาะกาล สามารถออก พรก. ได้ว่าต้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด ซึ่ง พรก.นี้ ในอนาคต อาจไปถูกตีตกในชั้นวุฒิสภาหรือ สภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ แต่บางเรื่องจะมีผลบังคับใช้ไปแล้ว และเมื่อมีผลใช้ไปแล้ว แต่ไปถูกตีตกในอนาคต มันก็จะยาก ขึ้นในการที่สว.หรือสส. ต้องตอบคำถามของสังคมให้ได้ ว่าทำไมคุณจึงตีตกกฎหมายเหล่านี้ไป” นายไพบูลย์ระบุ