นพ.เหรียญทอง แน่นหนา : "เรื่องระหว่างผิดกับถูก ผมคงอยู่เฉยๆไม่ได้"
“เรื่องระหว่างผิดกับถูกคงอยู่เฉยๆไม่ได้ หากยังมองว่า การเป็นกลางคือต้องนิ่ง เฉยแบบนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราจะยอมให้ความไม่ชอบธรรมจรรโลงในสังคมไม่ได้ เราต้องเลือกข้างอย่างเปิดเผย สังคมวันนี้คนเลือกสิ่งที่ถูก ต้องแสดงตน”
ภายหลังจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ยุติบทบาทลง วนกลับมาสู่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) นพ.เหรียญทอง ขอเว้นวรรคการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองไประยะหนึ่ง ด้วยเหตุอุดมการณ์ไม่ตรงกัน
กระทั่งปี 2555 เริ่มมีการชุมนุมของเสธ.อ้าย (พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์) แม้คนจะออกมาร่วมชุมนุมในช่วงเวลานั้นน้อยมาก แต่เขาก็ออกไปร่วม โดยเฉพาะในวันที่ไปมีการยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างโหมกระหน่ำนานนับชั่วโมง
“วันนั้นผมไปร่วมชุมนุมกับพี่สาวและภรรยา เดินจากลานพระบรมรูปทรงม้าผ่านมาทางสวนจิตรลดา รองเท้าเสื้อผ้าเปียกหมด แถมยังมีการประกาศจากแกนนำว่า ยุติการชุมนุม ถามว่ารู้สึกผิดหวังไหม ก็รู้สึกนะ แต่เราก็รู้ว่าสู้ไปไม่มีประโยชน์ อีกอย่างแกนนำก็ตัดสินใจถูกแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดการสูญเสีย แต่ก็ไม่เป็นไรบอกตัวเองว่า ต้องสู้ใหม่”
ต่อมาปี 2556 มีชุมนุมอยู่บริเวณสวนลุม แยกอุรุพงษ์ หมอเหรียญทองก็ไปร่วม เรียกว่า สะดวกที่ไหนไปที่นั่น จนกระทั่งเกิดเวทีที่สามเสน เดือนพฤศจิกายน 2556 เมื่อกำนันสุเทพเป่านกหวีดเดินจากสามเสนไปวัดพระแก้ว เขาก็ไม่พลาดเช่นกัน
เดินไปในใจก็คิด...
"ก็ไม่รู้ว่าจะเดินทำไม ลุงกำนันเดินเราก็เดิน ตอนเดินไปก็คิดว่า เดินอะไร เดินไปเซ็งไป แต่ในใจก็ยึดหลักว่าเราต้องเชื่อผู้นำ ยังไงต้องช่วยกัน จากวัดพระแก้ว สนามหลวง มาถนนราชดำเนิน เดินไปเดินกลับนี่ คิดเมื่อยนะ แต่ก็รู้สึกดีที่อย่างน้อยได้มาคารวะพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม (รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ค่ายจักรพงษ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี จากกองกำลังบูรพา ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปะทะระหว่างกำลังทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553) ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย
จนกระทั่งเวลาประมาณ 5 โมงเย็น กำนันสุเทพประกาศว่าจะปักหลักตรงนี้ "ผมหายหงุดหงิดเลย ได้ยินแล้วถูกใจ ใช่เลย เป่านกหวีดแบบนี้ใช้ได้"
ส่วนวันที่มีข่าวว่า ผู้ชุมนุม กปปส.ที่กระทรวงการคลังจะถูกสลาย หมอเหรียญทอง เล่าวว่า พี่สาวได้เอารถไปจอดขวาง เขาขับรถตามไปกับลูกชาย และได้นอนอยู่ริมถนนฟุตบาทหน้ากระทรวงการคลังครั้งแรก
"นอนๆ อยู่แมลงสาปไต่ออกมาตามท่อ เกาะขา ขึ้นมาบนหน้าอก ปกติผมเป็นคนกลัวแมลงสาปมาก แต่พอเห็นคนอื่นนอนกัน เราก็คิดว่า เราอยู่ได้"
พร้อมกับเล่าเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายที่ได้พบเจอระหว่างร่วมชุมนุม เป็นภาพที่เขาประทับใจไม่มีวันลืม
“เมื่อก่อนไม่ได้ศรัทธากำนันสุเทพเลยนะ แต่พอเห็นเขายอมเสียสละทุ่มเท ผมบอกได้เลยว่า คุณไม่เลิก ผมไม่เลิก ผมไม่ทิ้งลุงกำนันเด็ดขาด ถ้าเจอตัวจริงจะเรียก พี่กำนันและจะบอกตรงๆ ว่า เมื่อก่อนไม่ชอบพี่เลย แต่ตอนนี้รักฉิบหาย”หมอเหรียญทองเล่าหลังจากได้ทบทวนตัวเองถึงเหตุผลว่า ทำไมถึงไม่ชอบสุเทพ มามองตอนนี้รู้สึกว่า ไม่เป็นธรรมกับสุเทพ เพราะเราไม่ได้รู้จักเนื้อแท้ของเขา แค่ติดตามข่าวอ่านก็เลยมองภาพลบ เชื่อตามข่าว แต่วันนี้คนละเรื่อง บอกได้คำเดียวว่า วันนี้เป็นการชอบและรักอย่างมีเหตุผล ที่ผ่านมาเป็นการไม่ชอบที่ไม่มีเหตุผล วันนี้สมเหตุสมผลแล้ว
เขาเล่าต่ออีกว่า ภายหลังจากที่มีการประกาศว่าจะปักหลักชุมนุมอยู่ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยพอจะประเมินได้ว่าการชุมนุมครั้งนี้ต้องยาวข้ามปีอย่างแน่นอน แล้วในช่วงหน้าหนาวอากาศก็หนาวมาก "ผมไปอยู่ตรงนั้นรู้เลยว่า คนที่มาเขาลำบากแค่ไหน"
ต่อมามีการประกาศชัตดาวน์กระจายไปตามจุดต่างๆของกรุงเทพฯ ในวันที่ 8 มกราคม 2557 จากราชดำเนินก็เดินมาที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ พอย้ายมาตรงนี้ ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เล่าอย่างสีหน้ามีความสุข "เอาล่ะอยู่ใกล้เราแล้ว ดังนั้นคิดว่า เราก็ควรใช้สิ่งที่เรามีศักยภาพมาใช้ คือช่วยเหลือเต้นท์พยาบาล ถ้าหากขาดยาอะไร หรือมีคนป่วยเป็นโรคหัวใจ ท้องเสียต้องให้น้ำเกลือให้ส่งมาที่โรงพยาบาลได้เลย ที่นี่รับแอดมิดให้หมดโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย"
“ในวันที่ประกาศชัตดาวน์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาขอใช้สถานที่โรงพยาบาลเป็นจุดสังเกตการณ์ แต่ผมไม่เชื่อ แล้วบอกเลยว่า ผมไม่เอาด้วย เพราะนี่คือพื้นที่โรงพยาบาล" หมอเหรียญทอง ยืนยัน ก่อนจะแอบกระซิบเราว่า "ที่สำคัญคือผมสนับสนุนกปปส.ดังนั้นอยู่ๆ จะมาขอใช้พื้นที่โรงพยาบาลผมมาสังเกตการณ์อะไร ผมไม่เอา ผมไม่ไว้ใจ”
และวันนั้นเอง พอมีการประกาศชัตดาวน์ "หมอเหรียญทอง แน่นหน้า" ก็มีตัวตน เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ เขาได้โพสต์ในเฟชบุ๊กส่วนตัวว่า
"เราสนับสนุน อาหาร น้ำดื่ม ห้องน้ำ ที่จอดรถ ขอเพียงแค่มีบัตรประชาชนมา" คนอ่านในเฟชบุ๊กล้นหลาม ถัดจากโพสต์ข้อความนี้ แค่ 1 วัน มีโทรศัพท์โทรเข้ามาเป็นร้อยหลายมากไม่ได้รับ มีทั้งคนชื่นชมมากในเฟชบุ๊ก เขาได้เห็นพลังของเฟชบุ๊ก คิดในว่าอะไรจะขนาดนี้ แถมมีคนขอเป็นเพื่อนเต็มไปหมดไม่รู้ใครเป็นใครกดรับแทบไม่ไหว
หมอเหรียญทองหาสาเหตุว่า ทำไมคนถึงมาขอเป็นเพื่อนในเฟชบุ๊กจำนวนมาก มารู้อีกทีคือลุงกำนันเอาเขาไปชื่นชมบนเวที ต่อมารู้แล้วว่า คนที่ขอเป็นเพื่อนคือคนอุดมการณ์เดียวกันหมดเลย
"ผมไม่ ไม่ลังเลใจ กดรับหมดเลย แต่ขอบอกตรงนี้เผื่อมีใครที่ไม่ได้อุดมการณ์เดียวกัน ก็ลบผมทิ้งไปได้เลย"
เมื่อถามถึงกำไรขาดทุนของโรงพยาบาลที่เข้ามาสนับสนุนกปปส.บางรายรักษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ธุรกิจอยู่ได้หรือไม่ นพ.เหรียญทอง หัวเราะก่อนที่จะตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "ทำแค่พอมีกำไรก็พอแล้ว ผมไม่ได้ขาดทุน แต่คนที่มารักษาที่นี่ขาดทุนยิ่งกว่าผม เขาต้องแตกแดด ทิ้งลูกทิ้งเมียมาอยู่ร่วมชุมนุม ดังนั้นกำไรขาดทุนกับผู้ชุมนุมผมจึงไม่เคยคิด เพราะผมไม่แสวงประโยชน์กับผู้ชุมนุม มิหนำซ้ำตอนนี้โรงพยาบาลผมยังมีคนไข้มากกว่าปกติด้วยซ้ำไป"
หมอเหรียญทอง เล่ามาถึงเหตุการณ์วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันมาฆะบูชา วันที่เขาและครอบครัวตื่นแต่เช้านัดจะไปตักบาตรกับหลวงปู่พุทธอิสระ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตักบาตร เพราะว่าคนมาคอยคิวตักบาตรเป็นจำนวนมาก
ยิ่งรับโทรศัพท์ลูกน้องที่โทรมาแจ้งว่า ตำรวจมาล้อมเต็มหมดแล้ว "ผมออกไปดูเห็นแถวหน้านั่งสวดอิติปิโส ตำรวจหลายร้อยก็มาพร้อมกระบอง มีกลุ่มมวลชนเสื้อแดงมาด้วยจำนวนหนึ่ง ผมกลัวว่ามวลชนจะตีกัน วันนั้นกลัวเกิดการสูญเสียมาก รีบโทรตามหมอปรากฎว่า ถูกปิดเส้นทางหมอเข้ามาไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นตายอย่างเดียว ผมเลยเสี่ยงดูออกไป ความจริงก็กลัวเพราะรู้ว่า สู้ตำรวจไม่ได้ แต่อย่างน้อยถ่วงเวลาสักหน่อยก็ยังดี"
“ผมเลยตะโกนบอกทุกคนตรงนั้นว่า อย่าเดินตามไปนะขอให้ทุกคนนั่งสวดมนต์อยู่ตรงนี้ ให้นั่งนิ่งๆ ผมก็บอกทั้งๆที่เขาก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ผมเตรียมไว้แล้ว่าจะทำอะไรแต่ยังไม่ได้พูดบอกใคร เพราะวันนั้นเห็นนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศเต็มไปหมด เตรียมแผนจะเอารถพยาบาลมาขวาง แม้ความจริงถึงขวางได้ตำรวจก็เดินไปได้อยู่ แต่ผมวางแผนว่า ภาพข่าวที่ออกไปจะประจานตัวตำรวจเอง เราก็รอดูว่าตำรวจจะทำยังไง สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เดินไป
มีหลายคนเขาถามผมนะว่า ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ ถ้าให้ตอบจริงๆ ความจริงอยู่เฉยๆ ก็ได้ ชีวิตไม่ได้ลำบากสบายดี แต่จะให้ผมอยู่เฉยๆ ยังไงผมทำไม่ได้ แล้วชอบมีคนพูดเสมอว่า ให้วางตัวเป็นกลาง ถามกลับว่า การวางตัวเป็นกลางคือวางตัวอย่างไร การวางตัวเป็นกลางคือการนิ่งเฉย อยู่เฉยๆ อย่ายุ่ง ประเทศจะล่มสลายก็อยู่เฉยๆเช่นนั้นหรือ
เรื่องระหว่างผิดกับถูกคงอยู่เฉยๆไม่ได้ หากยังมองว่าการเป็นกลางคือต้องทำแบบนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเราจะยอมให้ความไม่ชอบธรรมจรรโลงในสังคมไม่ได้ เราต้องเลือกข้างอย่างเปิดเผย สังคมวันนี้คนเลือกสิ่งที่ถูกต้องแสดงตน”
ย้อนกลับมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หมอเหรียญทอง เล่าต่ออีกว่า "วันนั้นไม่ใช่ความกล้าของผม ผมก็กลัวโดนตีกะบาล กลัวโดนลูกหลง แต่ผมเห็นภาพอยู่ว่า อาจจะเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ถ้าไม่ทำอะไรเลย ผมต้องเสียใจ ผมเป็นคนธรรมดาใจร้อน ผมไม่ใช่พ่อพระ คนในเฟชบุ๊กให้เกียรติผมจนผมอาย ต่อไปผมจะใช้ชีวิตลำบาก เวลาจะทำอะไรต้องนึกถึงคนที่มายกย่องสรรเสริญ ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมไม่ได้ดีอย่างที่ประชาชนสรรเสริญ เป็นคนที่มีกิเลส โกรธ ตัณหา มีความถ่อยเหมือนทุกท่าน ไม่ได้เป็นหมอพ่อพระอย่างที่ทุกคนเข้าใจ"
ส่วนข้อเสนอต่างๆ ที่เสนอผ่านเฟชบุ๊คนั้น เขาแสดงความเห็นส่งท้ายว่า การชุมนุมวันนี้ต้องไม่ใช่แค่การชุมนุมที่คนมารวมตัวกันแล้วมีข้าวเลี้ยงเท่านั้น แต่ต้องเป็นการรวมตัวกันเพื่อที่จะให้เกิดการพึ่งพาตนเองและมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์เป็นแนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ โดยเฉพาะแนวคิดการจัดตลาดเกษตรของหลวงปู่พุทธอิสระ เชื่อว่า จะตอบโจทย์เกษตรกรที่เดือนร้อนขณะนี้ได้