“ศศิน” ชี้ พรรคการเมืองไร้อุดมการณ์ อุปสรรคขวาง “ปฏิรูป”
เลขามูลนิธิสืบฯ ชี้ ปัญหาหนึ่งของการเมืองไทย คือ พรรคขนาดกลางที่รอจังหวะฉวยโอกาส ไร้อุดมการณ์ชัดเจน

นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิ สืบ นาคะเสถียร ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงปัญหาประการหนึ่งของการเมืองไทยว่า พรรคขนาดกลางที่รอจังหวะ ฉวยโอกาสทางการเมือง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปการเมืองไทย
“เรายังมีพรรคการเมืองที่ฉวยโอกาส คอยหาโอกาสทางการเมืองอยู่เสมอ ส่วน 2 พรรคใหญ่ คือประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยในมุมหนึ่งผมว่าเขาก็กล้าประกาศอุดมการณ์ชัดเจน ประชาธิปัตย์ก็ผูกกับชนชั้นกลางและชนชั้นนำ คือมันพอจะมีเป้าหมาย มีอุดมการณ์ว่าจะทำอะไร และอย่างน้อยคุณมาร์ค ( อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ) ก็เคยพูดเรื่องรัฐสวัสดิการแม้จะยังทำไม่สำเร็จ ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ประกาศตัวชัดเจนว่าโมเดิร์น ประกาศตัวเป็นพรรคแรงงานที่อิงกับกลุ่มทุน คือ นอกจาก 2 พรรคนี้แล้ว การเมืองแบบไม่มีอุดมการณ์ของพรรคขนาดกลางก็ยังเป็นปัญหา ถ้าคุณขจัดสิ่งนี้ ไปได้ ก็จะปฏิรูปได้ แต่ที่ผ่านมายังมีคนที่คอยฉวยโอกาสทำแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ยุคคุณชาติชาย ( ชุณหะวัณ ) ผมว่านี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ขัดขวางประชาธิปไตย มากกว่าความขัดแย้ง"
นายศศิน กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ตนยังเชื่อว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะดำเนินเป็นวัฏจักรที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะจบลงได้ในที่สุด และปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ความขัดแข้งจบลง คือการตื่นรู้ของประชาชน หรือการมีผู้นำทางการเมืองที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คน
“แต่ความขัดแย้งในตอนนี้ ผมก็เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นวัฎจักร จนกว่าประชาชนตื่นรู้ หรือเกิดผู้นำที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ ซึ่งเราไม่เคยมีผู้นำทางการเมืองที่สร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชน คุณทักษิณ เคยเกือบทำได้คุณอภิสิทธิ์เคยเกือบทำได้ นอกจากนั้น ผมไม่เคยเห็น คนที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนต้องคนอย่าง ปรีดี พนมยงค์ ส่วนคุณทักษิณกับคุณอภิสิทธิ์ แค่เคยเกือบทำได้ แต่ยังไม่พอ คุณอภิสิทธิ์คงต้องกินกาแฟโบราณข้างถนน บ่อยกว่านี้หน่อย หมายถึงโดยวิถีชีวิตจริงๆ”
เลขามูลนิธิสืบฯ กล่าวถึงบทบาทของเครือข่ายคนทำงานภาคประชาสังคมหรือ NGO ในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองของ กปปส. เปรียบเทียบกับ การชุมนุมของ กลุ่มพันธมิตรฯ ที่เอ็นจีโอเคยเข้าร่วม แต่ในที่สุดก็ถอยออกมาว่า
“ผมว่าภาคประชาสังคมเข้าไปสู่เรื่องนี้ค่อนข้างน้อยนะ แม้แต่เวทีที่ภาคประชาสังคมเข้าไปเยอะที่สุดคือ คปท.( เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ) เพราะเวทีนี้ ชัดเจนว่าเกิดขึ้นเพราะเรียกร้องความเป็นธรรมและความถูกต้องทางการเมือง ไม่มีประชาธิปัตย์เข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก ส่วนกลุ่มที่ทำงานกับชาวบ้านหลายกลุ่มก็ไปร่วมกับ กองทัพธรรม แต่จะเห็นได้ว่า เวที กปปส. นั้น แทบจะไม่มีเอ็นจีโอเข้าไปร่วมด้วย มีน้อยมาก แม้แต่เมื่อครั้งการชุมนุมของพันธมิตรในช่วงหลังๆ เอง ก็มีเอ็นจีโอ เข้าไปร่วมด้วยน้อยมาก แต่พันธมิตรฯ ในช่วงแรก เอ็นจีโอเข้าไปร่วมด้วยเยอะมาก เพราะเกิดขึ้นจากการรวมตัวของภาคประชาชนจริงๆ แต่พอในช่วงหลังๆ มัน เมื่อการเคลื่อนไหวออกมาในเชิงการแบ่งแยก มวลชนหนักๆ เข้า จะเห็นว่าเอ็นจีโอ จะไม่เข้าไป เพราะคนทำงานประชาสังคมจะเข้าไปกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก แม้แต่ กับ นปช. เอง เอ็นจีโอเสื้อแดง ก็จะเข้าร่วมกับ นปช. น้อยมาก อย่างมาก จะเป็นแนวร่วม แต่ไม่เข้าไปร่วมเคลื่อนไหว”
นายศศิน กล่าวว่า สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ตัวเขาและเอ็นจีโอบางกลุ่ม ถอนตัวจากการเข้าร่วมชุมนุม เนื่องจากประเด็นการขับเคลื่อนที่เบี่ยงไปจากเรื่องการตรวจสอบนโยบาย และสิทธิของประชาชน
“ตอนนั้น ผมไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรนะ แต่ผมไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ บ่อยมาก ในฐานะผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ย่างกรายไปที่เวทีเลย ตอนนั้น ผมรู้สึกว่าเรามีความหวัง คือผมจะรู้สึกมีความหวังเสมอ เมื่อประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้มีอำนาจ เพราะผมรู้สึกว่าประชาชน ต้องลุกขึ้นมาแบบนี้เพื่อถ่วงดุลอำนาจของนักการเมือง โดยส่วนตัวผมจะชื่นชม เสมอ แต่ต้องมีการเรียนรู้และมีความกล้าหาญ มาเรียนรู้ร่วมกัน ในประเด็นที่ตนเองเห็นด้วย แต่พอมาวันหนึ่ง เมื่อมีการชูประเด็นเรื่องการปกป้องสถาบัน ฯ ขึ้นมาผมก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่บทบาทของเรา คือ นั่นไม่ใช่อุดมการณ์ของคนทำงานภาคประชาสังคมอย่างผมที่จะไปต่อสู้เพื่อสถาบันทางการเมือง หรือสถาบันทางการปกครองขนาดนั้น เพราะผมมองว่า การต่อสู้ในภาคประชาสังคมของพวกเรามันคือการต่อสู้เพื่อให้เกิดการตรวจสอบ ถ่วงดุล สู้เพื่อสิทธิของภาคประชาชน” นายศศินระบุ
ภาพประกอบจาก www.manager.co.th
