เปิดเอกสาร “ป.ป.ช.” โต้ “ยิ่งลักษณ์” ปมจำนำข้าว (ฉบับเต็ม)
"...ซึ่งจากการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ได้กำหนดให้มีนโยบายโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของประเทศ จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ..."
หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2557 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่เอกสารประชาสัมพันธ์ชี้แจงการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีร้องถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกรณีกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว
----
การไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีร้องขอถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และกรณีกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว
ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อสาธารณะเกี่ยวกับการทำหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีร้องขอถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกรณีกล่าวหา ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว นั้น สำนักงาน ป.ป.ช. ขอเรียนชี้แจง ดังนี้
1. การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วยความเร่งรีบใช้เวลาเพียง 21 วันก็มีการแจ้งข้อกล่าวหานั้น ขอเรียนว่าเรื่องนี้ เดิมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว
ซึ่งจากการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ได้กำหนดให้มีนโยบายโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของประเทศ จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คณะอนุกรรมการไต่สวนจึงได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาและมีมติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะ เป็นองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยนำไปรวมดำเนินการกับกรณีร้องขอให้ถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว
ดังนั้น ในการไต่สวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้นับตั้งแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริงจนกระทั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มารับทราบข้อกล่าวหา รวมระยะเวลาทั้งสิ้นหนึ่งปีสิบเดือน ดังนั้นในการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงไม่ได้ใช้เวลาไต่สวนเพียง 21 วัน แต่อย่างใด
2. การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระบุว่าการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้ามาเป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้ทำให้กลายเป็นคู่กรณีกับผู้ถูกกล่าวหาเสียเอง แทนที่จะเป็นคนกลางที่จะอำนวยความยุติธรรมนั้น ขอเรียนว่าตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 66 บัญญัติว่า ในกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีผู้กล่าวหาว่า ผู้ดำรงตำแหน่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่นร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว
ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับรายงานจากการไต่สวนข้อเท็จจริงว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามข้อ 1. จึงต้องดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.สามารถหยิบยกเรื่องขึ้นไต่สวนข้อเท็จจริงได้เอง เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
อย่างไรก็ดีแม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเป็นผู้กล่าวหาเอง แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็จะต้องดำเนินการไต่สวนให้เป็นไปตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยไม่ได้มีการยกเว้นในเรื่องหนึ่งเรื่องใดทั้งสิ้น ดังนั้นผู้ถูกกล่าวหาทุกรายรวมถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงได้รับการอำนวยความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายดังกล่าว
3. การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระบุว่าเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกกล่าวหาจะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นมาไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณานั้น ขอเรียนว่าตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในการการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ คณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถที่จะดำเนินการไต่สวนทั้งคณะ หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน หรือมอบหมายพนักงานไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้ โดยจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับฐานะ ระดับของตำแหน่ง และการคุ้มครองผู้ถูกกล่าวหาตามสมควร
ซึ่งในกรณีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเมื่อคำนึงระดับตำแหน่งของผู้ถูกกล่าวหาซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเป็นการคุ้มครองผู้ถูกกล่าวหาตามสมควร จึงได้กำหนดให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง
ดังนั้น การที่ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจว่าจะต้องมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นมาไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนนั้น จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และการให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริงนั้น เป็นการคุ้มครองและให้เป็นธรรมแก่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย
4. การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระบุว่าประสงค์จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อขอตรวจสอบพยานหลักฐานในสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ว่ามีพยานหลักฐานใดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้ในการกล่าวหา หรือกรณีมีข้อสงสัยที่ยังไม่ชัดเจนเพื่อที่จะได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ถูกต้องนั้น ขอเรียนว่าการขอตรวจพยานหลักฐานในสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงนั้น ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องเข้าตรวจพยานหลักฐานด้วยตนเอง และตรวจได้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา โดยต้องไม่กระทบต่อรูปคดีหรือการคุ้มครองบุคคลที่เกี่ยวข้อง สิทธิดังกล่าวได้มีการแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบแล้วตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา
ซึ่งในกรณีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยอนุญาตให้ทนายความของผู้ถูกกล่าวหาเข้าตรวจพยานหลักฐานแทนผู้ถูกกล่าวหาเนื่องจากมีพฤติการณ์พิเศษ และได้คัดถ่ายเอกสารหลักฐานในสำนวนการไต่สวนให้ไปจำนวน 49 แผ่น ซึ่งได้ครอบคลุมการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาตามที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาได้มีหนังสือขอตรวจพยานลักฐานเพิ่มเติมจำนวน 19 รายการ นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื้อหาของเอกสารทั้ง 19 รายการดังกล่าวเป็นเอกสารประกอบเรื่องตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยให้ทนายความของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตรวจดูและคัดถ่ายให้แล้ว จำนวน 49 แผ่น ยกเว้นเอกสารบางรายการซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปและมีอยู่ที่ตัวผู้ถูกกล่าวหาแล้วหรือหน่วยงานที่ผู้ถูกกล่าวหาบังคับบัญชาอยู่ เช่น รายงานการวิจัยคณะกรรมการ ป.ป.ช. โครงการศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อป้องกันการทุจริต เอกสารของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่มีไปถึงผู้ถูกกล่าวหา คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี เป็นต้น ซึ่งเอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารสำคัญที่จะต้องใช้ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
อย่างไรก็ดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงอนุญาตให้ทนายความของผู้ถูกกล่าวหาเข้าตรวจพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ และคัดถ่ายไปจำนวน 280 แผ่น ก่อนที่จะถึงกำหนดยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา 3 วัน ซึ่งทั้งหมดเกิดจากความประสงค์ของผู้ถูกกล่าวหาเอง และไม่ทำให้รูปของคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระบุว่าเพิ่มได้รับเอกสารเพียง 3 วัน ทำให้ไม่อาจชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ทันนั้น จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
5. การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระบุว่าการขอเลื่อนคดีของผู้ถูกกล่าวจะมีความสมเหตุสมผลหรือไม่ และการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด นั้น ขอเรียนว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เคยขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหามาแล้วครั้งหนึ่ง โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปอีก 15 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 31 มีนาคม 2557 หากนับจากวันรับทราบข้อกล่าวหาถึงวันที่อนุญาตให้ขยายรวมแล้วเป็นเวลา 32 วัน
ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าระยะเวลาดังกล่าว รวมทั้งเอกสารหลักฐานที่อนุญาตให้คัดถ่ายไปครั้งแรกจำนวน 49 แผ่นครอบคลุมข้อเท็จจริงที่จะใช้ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว จึงมีมติไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไม่ว่าจะทำเป็นหนังสือหรือชี้แจงด้วยวาจาภายในกำหนดเดิม คือ วันที่ 31 มีนาคม 2557 ทั้งนี้หากผู้ถูกกล่าวหาประสงค์จะเพิ่มเติมพยานหลักฐานในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาก็สามารถกระทำได้โดยให้ระบุมาในคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน