สปสช.-สปส.ถกโอนผู้ประกันตนไปบัตรทองอีกยกไม่คืบ ติดขัด 2.2 หมื่นล้าน
สปสช.พร้อมอ้าแขนรับผู้ประกันตน คงสิทธิเดิม-พ่วงสิทธิบัตรทอง เงื่อนไข สปส.ต้องโอนให้ 2.2 หมื่นล้าน 3 ปี ด้านสำนักงานประกันสังคมปฏิเสธจ่าย ชี้ขัดรัฐธรรมนูญ-ไม่เท่าเทียม ถกอีกรอบ 5 ส.ค.
วันที่ 13 ก.ค.54 ที่สำนักงานประกันสังคม มีการประชุมร่วมระหว่างตัวแทนสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อหารือกรณีการโอนผู้ประกันตนจากประกันสังคมไปรับบริการทางการแพทย์กับ สปสช. หรือบัตรทอง ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545
โดยที่ประชุมได้หารือถึงข้อเสนอจาก สปสช.ซึ่งพร้อมจะรับผู้ประกันตนไปดูแลและจะให้สิทธิการรักษาพยาบาลไม่น้อยกว่าเดิม ซึ่งจะได้สิทธิประโยชน์อื่นๆที่บัตรทองให้มากกว่าประกันสังคมอีกกว่า 30 รายการ แต่ สปส.ต้องจ่ายเงินค่าค่าบริการทางการแพทย์ให้ สปสช.เป็นเงินกว่า 2.2 หมื่นล้าน 3 ปี
อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าว ตัวแทน สปส.คัดค้านว่าไม่ควรต้องจ่ายเงินในส่วนค่าบริการทางการแพทย์ให้กับ สปสช. เนื่องจากขัดมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยระบุว่าปัจจุบัน สปสช.ให้บริการประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หาก สปส.ต้องโอนผู้ประกันตนไปใช้บริการของ สปสช.ก็ไม่ควรต้องเสียค่าบริการทางการแพทย์ด้วยเช่นกัน เพราะจะถือเป็นการเลือกปฏิบัติ
นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการ สปสช. กล่าวว่า ตัวแทนทั้ง 2 ฝ่าย เห็นต่างเกี่ยวกับการตีความตามมาตราดังกล่าว จึงควรให้หน่วยงานที่มีอำนาจมาตีความให้ชัดเจนเสียก่อน โดย สปสช.เสนอว่าควรส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ส่วนฝ่าย สปส.เห็นว่าควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความด้วย
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการ สปส. กล่าวว่า ประเด็นที่ต้องชัดเจนเสียก่อนคือ สปส.ต้องจ่ายเงินหรือไม่ ถ้าจ่ายต้องจ่ายเท่าใด สิ่งที่ สปส.กังวลคือการจ่ายเงินค่าจัดบริการทางการแพทย์ให้ สปสช.อาจเป็นการ ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเงินของ สปส.มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ เงินสมทบจากลูกจ้าง นายจ้างและส่วนที่รัฐบาลร่วมจ่าย
"เป็นคำถามว่าถ้าเอาเงินของลูกจ้างและนายจ้างไปให้ สปสช.จะขัดกับกฎหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตีความ เช่น อาจให้จ่ายเฉพาะส่วนที่รัฐร่วมสมทบ 8,000 ล้านบาท แต่ต้องมีความชัดเจนก่อน" นายปั้น กล่าว
เลขาธิการ สปส. กล่าวว่าที่ประชุมยังตกลงให้ทั้ง 2 ฝ่าย จัดทำรายละเอียดในการโอนผู้ประกันตน และรายละเอียดสิทธิประโยชน์ วิธีการเข้าถึงบริการซึ่งบางอย่างยังมีความแตกต่างกันอยู่ โดยให้เหตุผลว่าเตรียมการไว้สำหรับการโอนผู้ประกันตนในอนาคต
นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ กล่าวว่าหลังจากวันนี้ทั้ง สปส.และ สปสช.จะกลับไปคิดคำถามของตัวเองว่ามีอะไรบ้าง แล้วจะให้ใครเป็นผู้ตอบ เช่น ถ้ามีคำถามที่เป็นปัญหาทางด้านกฎหมายก็จะยื่นให้กฤษฎีกาตีความ ถ้าเป็นเรื่องทางรัฐธรรมนูญก็จะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากเป็นเรื่องทางนโยบายก็จะให้ทางรัฐบาลเป็นผู้เสนอ
ด้านนายประสิทธิ์ จงอัศญากุล คณะกรรมการ สปส. ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่าอีก 1 สัปดาห์ ตนและสภาองค์การนายจ้างอีก 7 องค์กร จะยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครองกรณี สปสช.จะเรียกเก็บเงินในส่วนค่าบริการทางการแพทย์จาก สปส. 2.2 หมื่นล้าน ว่าขัดต่อมาตรา 5 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 ที่ สปสช.ไม่มีอำนาจเรียกเก็บเงินส่วนนี้ เพราะจากที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการเรียกเก็บเงินจากบุคคลอื่น
ทั้งนี้จะมีการประชุมร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 5 ส.ค.ที่จะถึงนี้ .
ที่มาภาพ :http://www.jvkorat.go.th/newsite/index.php?option=com_content&view=article&id=15&Itemid=11