คำต่อคำ“เต้น”เปิดโผนายกฯคนกลาง เล่าคอนเน็กชั่นการเมือง
“มีรายงานว่าตอนต้น นายสุเทพ โคจรไปพบกับคุณพลากร ที่ “แปซิฟิกคลับ” ย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนรวยไปรวมตัวกัน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขามีสิทธิ์นัดพบกันในที่ที่เขาสบายใจ อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า “แปซิฟิกคลับ” ลองไปดูดี ๆ ทำไมนายสุเทพมีบารมีมากขนาดนั้น หรือว่า “แปซิฟิกคลับ” เป็นของนายสุเทพหรือไม่”
ตกเป็นเป้าคำถามของสังคมมาโดยตลอด
ว่าตกลงแล้ว “นายกรัฐมนตรีคนกลาง” ที่มีใครหลายคนถวิลหานั้น มีจริงหรือไม่ และมีใครติดอยู่ในทำเนียบเหล่านี้บ้าง !
ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยรายชื่อ “นายกรัฐมนตรีคนกลาง” ซึ่งรวบรวมโดยโรงเรียน นปช. ซึ่งมีนายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. โดยเดินถือซองเอกสารปิดผนึกอย่างดีมามอบให้กับมือนายณัฐวุฒิ
หลังจากนั้นนายณัฐวุฒิ ก็ได้เปิดรายชื่อบรรดา “ตัวเต็ง” “ตัวสอดแทรกรอเข้าวิน” “ม้ามืด” รวมไปถึง “อัศวินม้าขาว” มาเปิดเผยต่อสาธารณะ
นอกจากนี้ยังเล่าถึงประวัติการทำงาน รวมถึงคอนเน็กชั่นทางการเมืองของบรรดา “นายกฯคนกลาง” ทั้งหลายอีกด้วย
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รวบรวมคำพูดของ “ณัฐวุฒิ” มานำเสนอ ดังนี้
เต็ง 1 นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี
“พื้นเพดั้งเดิมเป็นคนอำเภอสิชล จ.นครศรีธรรมราช บ้านเดียวกันกับผม และผมได้บทบาทชีวิตข้าราชการของคุณพลากรมาโดยตลอด ทั้งการเติบโตในกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอ.บต.) หลังจากนั้นมาดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ขณะที่ก่อนหน้านั้นเป็นผู้ว่าราชการหลายจังหวัด”
“และมีข้อมูลว่าคุณพลากร มีความสนิทสนมกับนักการเมืองหลายฝ่าย แต่ที่สนิทแนบแน่นเป็นอย่างยิ่งกับพรรคประชาธิปัตย์ และกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (เลขาธิการ กปปส.) ก็ถือว่าสนิทคุ้นเคยกันดี”
“มีรายงานว่าตอนต้น นายสุเทพ โคจรไปพบกับคุณพลากร ที่ “แปซิฟิกคลับ” ย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนรวยไปรวมตัวกัน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขามีสิทธิ์นัดพบกันในที่ที่เขาสบายใจ อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า “แปซิฟิกคลับ” ลองไปดูดี ๆ ทำไมนายสุเทพมีบารมีมากขนาดนั้น หรือว่า “แปซิฟิกคลับ” เป็นของนายสุเทพหรือไม่”
“ขณะเดียวกันการพบกันระหว่างคุณพลากร กับนายสุเทพ ที่แปซิฟิกคลับ มีคนสังเกตว่า ทั้ง 2 คนสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ นายสุเทพยกโทรศัพท์ให้คุณพลากรดูด้วย แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นข้อความหรือภาพอะไร นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่าเครือข่ายสายกระทรวงมหาดไทยที่เคลื่อนไหวกับนายสุเทพกับพวก เช่น นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ก็เป็นเครือข่ายเดียวกับคุณพลากร”
“บางคนบอกว่ามีข้อจำกัดหรือไม่ เพราะสถานะปัจจุบันคุณพลากรดำรงตำแหน่งองคมนตรี อันนี้พูดตรงไปตรงมาเอาประวัติศาสตร์ เอาความจริงเป็นที่ตั้ง หาใช่ข้อจำกัดไม่ เพราะหลังการรัฐประหารปี 2549 คุณสุรยุทธ์ก็เป็นองคมนตรี ยังออกมามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้นจึงขออนุญาตหยิบยกคุณพลากรเป็นเต็ง 1 ในเวลานี้”
เต็ง 2 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และอดีตรมว.กลาโหม
“พล.อ.ประวิตร เคยเป็น ผบ.ทบ. สมัยคุณทักษิณ ภายหลังเกษียณอายุราชการ และเกิดรัฐประหาร พล.อ.ประวิตร ก็ได้รับตำแหน่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หลังจากนั้นพล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชายก็ได้รับตำแหน่ง ส.ว.สรรหา”
“พล.อ.ประวิตร เป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มทหารบูรพาพยัคฆ์ เขาบอกกันว่าพี่ใหญ่คือพล.อ.ประวิตร คนรองคือพล.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และคนสุดท้องคือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากนั้นก็มีสายทางอำนาจในกองทัพภายใต้รหัสบูรพาพยัคฆ์ไล่เรื่อยลงไป”
“พล.อ.ประวิตร ได้ข่าวว่ามีบทบาทสำคัญในการรัฐประหารปี 2549 ถึงชั่วโมงนี้ผมเชื่อว่าคนไทยทั่วไป เข้าใจตรงกันว่า คนที่มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหารปี 49 มีหลายคน แต่บทบาทสูงสุดไม่ใช่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เพราะหากพล.อ.สนธิ มีอำนาจสูงสุดจริง ป่านนี้คงไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เป็นอยู่ แต่ในเมื่อพล.อ.สนธิ เดินเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ผมเคารพในจุดนี้ เพราะมาจากประชาชน”
“พล.อ.ประวิตร มีบทบาทอิทธิพลสำคัญในช่วงเหตุการณ์เปลี่ยนย้ายข้างทางการเมือง จากรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จากขั้วพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ซึ่งเป็นที่ขนานนามว่าตั้งในค่ายทหาร พล.อ.ประวิตร ยังเป็นพี่ใหญ่ที่มากด้วยบารมีในเหล่าแม่ทัพขุนทหาร ได้รับความนับถือจาก ผบ.ทบ. แต่ละรุ่น”
“ณ ปัจจุบันยังมีข้อมูลว่าพล.อ.ประวิตร ยังเป็นผู้ประสานงานของผู้นำระดับสูงฝ่ายรัฐบาล และซีกข้างผู้ชุมนุม หรือกลุ่มอื่นในข้างเดียวกัน เพื่อให้มีการเจรจาเพื่อเกิดสูตรใหม่ทางการเมืองให้ได้ ด้วยความเคลื่อนไหวลักษณะนี้เราจึงให้พล.อ.ประวิตร มาเคียงกันกับนายอานันท์ ปันยารชุน แต่เมื่อเทียบศักดิ์ศรีกับกองทัพ จึงให้พล.อ.ประวิตร เป็นเต็ง 2 ด้วยประการฉะนี้”
เต็ง 3 นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี
“เคยรับราชการในกระทรวงต่างประเทศ เติบโตรวดเร็วเป็นลำดับ เคยรับตำแหน่งสำคัญ เช่น เอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ และเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้นเมื่อมีการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ปี 2534 นายอานันท์ ได้รับตำแหน่งนายกฯ 2 ครั้ง ในปี 2534 และในปี 2535 บางคนชื่นชม แต่บางคนบอกว่านี่เป็นนายกฯนอกกติกาประชาธิปไตยมาตลอดทั้ง 2 ครั้ง”
“บทบาททางสังคมหลายแวดวงทั้งการเมือง เศรษฐกิจ อย่างชัด ๆ ช่วงหลังเมื่อยุติการชุมนุมของเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม 2553 นายอภิสิทธิ์ ก็ตั้งกรรมการปฏิรูปประเทศ ให้เป็นประธานปฏิรูปประเทศ สื่อรายงานตรงกันว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณราว 600 ล้านบาทหรือมากกว่า ให้นายอานันท์ กับนพ.ประเวศ วะสี เพื่อปฏิรูป จนปัจจุบันนี้ ผลิตผลจากจำนวนเงินหลายร้อยล้านบาทนั้นได้สร้างประโยชน์หรือกำหนดทิศทางใดบ้างต่อประเทศ และจำนวนเงินมหาศาลเป็นค่าปฏิรูปประเทศอย่างได้ผล ทำไมนายสุเทพ รองนายกฯในครม.ชุดนั้น ยังอ้างปิดบ้านเมืองจะปฏิรูปประเทศอยู่อีกในวันนี้”
“บทบาทล่าสุดมีรายงานว่า นายอานันท์ มีบทบาทสำคัญในแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะมีตำแหน่งใหญ่โตในธนาคารยักษ์เก่าแก่ เป็นต้นโผชวนนายธนาคารรับประทานอาหาร พูดจาหารือในทำนองว่า จะไม่ให้การสนับสนุนโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล เหล่านี้เป็นข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามา ประกอบสายสัมพันธ์โยงใยกับขั้วอำนาจหลักของประเทศมาเนิ่นนาน ทำให้เป็นเต็ง 3 ของว่าที่นายกฯเถื่อนในครั้งนี้”
ต่อไปเรียกว่าตัวสอดแทรกในเกม หมายความว่าประมาทไม่ได้ เผลอปั๊บแซงทางโค้งเข้าฮอร์ส
ตัวสอดแทรกรายที่ 1 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตรองนายกฯ และรมว.คลัง
“ม.ร.ว.ปรีดิยาธร หรือ “หม่อมอุ๋ย” เป็นบิดาของชายคนหนึ่งที่ผมรักน้ำใจเขา ไม่เคยคบหากันเป็นการส่วนตัว รู้จักกันก็แต่ในเนื้องาน ก็คือม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล แต่รักน้ำใจลูกชายก็ส่วนรักน้ำใจลูกชาย แต่บทบาทหน้าที่บิดาก็ต้องทำหน้าที่ตรงไปตรงมาต่อขบวนการต่อสู้เพื่อกระบวนการประชาธิปไตย”
“หม่อมอุ๋ย มีเส้นทางชีวิตการเมืองน่าสนใจ เป็นโฆษกรัฐบาลสมัยนายกฯพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ พอพล.อ.ชาติชายถูกรัฐประหาร ก็มาเป็นรมช.พาณิชย์ ในรัฐบาลนายอานันท์ 1 แล้วก็มาเป็นรมช.พาณิชย์ ในรัฐบาลพล.อ.สุจินดา หลังจากนั้นก็ได้เป็นรมช.พาณิชย์อีกครั้งในรัฐบาลนายอานันท์ 2”
“หลังจากนั้นมาทำหน้าที่ผู้ว่าการธนาคาร เมื่อปี 2544 แต่ลาออกในปี 2549 ถามว่าทำไมลาออก มีปัญหาอะไรกับใคร มีแน่ ก็คือต้องลาออกมาทำหน้าที่ รองนายกฯ ควบรมว.คลัง สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทร์ หลังการรัฐประหารปี 2549”
“ข้อสังเกตทิศทางการเมืองของหม่อมอุ๋ย คือ ท่านสามารถยืนได้ทุกที่ ไม่ว่าเหตุการณ์จะหมุนเปลี่ยนไปทางไหน ก็ไปยืนได้ ถ้าจะพูดกันแบบเข้าใจยาก ก็คือยืนได้ทุกแห่งหน แต่ถ้าพูดแบบบ้าน ๆ แบบประชาชน ก็บอกว่าหาจุดยืนท่านไม่ได้”
“และอาจเป็นตัวสอดแทรกในเกมนี้คือออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะปักหลักกับโครงการรับจำนำข้าว ไม่ว่าจะไปถึงหลักกิโลเมตรใดเจอหม่อมอุ๋ยขวาง และเรียกร้องให้นายกฯลาออก เพื่อนำไปสู่นายกฯเถื่อนก็มาจากท่าทีหม่อมอุ๋ยหลายครั้ง และช่วงสายของวันนี้มีโปรแกรมแถลงข่าว แต่ไม่รู้ทำไมยกเลิก หรือรอฟังว่าท่านติดโผหรือไม่ แต่นี่คือตัวสอดแทรกที่ต้องจับตามอง”
ตัวสอดแทรกรายที่ 2 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว.คลัง
“ไม่ใช่ชื่อใหม่ของแวดวงการเมือง เป็นอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย และพอคุณทักษิณ ชินวัตร เห็นว่ามีแววก็ชวนมาเป็นที่ปรึกษาบริษัทเครือชิน และชวนมาเป็นคณะทำงานทางความคิดสำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์การเมืองเศรษฐกิจของคุณทักษิณ ถือว่าใกล้ชิดคุณทักษิณคนหนึ่ง เมื่อคุณทักษิณนำพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลปี 2544 นายสมคิดก็อยู่ในเก้าอี้รัฐมนตรีและรองนายกฯมาโดยตลอด เรียกว่าได้รับโอกาสอย่างยิ่งจากรัฐบาลคุณทักษิณ ทั้งไทยรักไทย 1 และไทยรักไทย 2”
“ในช่วงม็อบนายสนธิ ลิ้มทองกุล รุกรานคุณทักษิณ มีข่าวว่านายสมคิดเป็นโต้โผของรัฐมนตรีชื่อย่อ “ส.” โดยคน ปรึกษาหารือในทิศทางข่าวเวลานั้นบอกว่ากำลังจะโดดเรือหนี รายงานข่าวเชิงลึกจากไทยรักไทยว่า สมัยนั้น นายสมคิด ไปพูดคุยกับผู้มีบารมีในบ้านเมือง ตกลงอย่างไรไม่ทราบ หลังจากนั้นติดต่อคนมาเป็นรัฐมนตรี และสนิทรักใครกับคุณทักษิณ เรื่องก็ไปเข้าหูคุณทักษิณ”
“บทบาทขณะนี้เดินสายบรรยาย อภิปรายต่าง ๆ แสดงท่าทีซึ่งเห็นชัดว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลปัจจุบัน ชื่อของนายสมคิด ก็เป็นหนึ่งในตัวสอดแทรกสำคัญในสถานการณ์เข้มข้น”
ต่อมาเป็นม้ามืด ก็หมายความว่า ยังไม่ได้เข้าประจำสถานีวิ่งเท่าไหร่นัก แต่ว่ามีโชยมา ก็เป็นเรื่องที่ละสายตาไม่ได้เช่นเดียวกัน
ม้ามืดรายที่ 1 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกฯ อดีตรมว.ต่างประเทศ และอดีตรมว.คลัง
ม้ามืดรายที่ 2 นายอาสา สารสิน บุตรชายนายพจน์ สารสิน
“มีคนหยิบยกชื่อท่านผู้นี้มาอภิปรายอยู่มาก จึงมีน้ำหนักเพียงพอจึงต้องจัดวางท่านให้อยู่ในม้ามืด”
ม้ามืดรายที่ 3 นายวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของกิจการในเครืออมตะนคร
“คนนี้มาจากภาคเอกชนที่มาจากเอกชน กลับมาก็ขยายธุรกิจเติบโต ถือว่าบริหารน่าจับตามอง โดยนิตยสารฟอร์บส์ เคยจัดอันดับเศรษฐีอยู่ที่ 40 ในประเทศไทย เจ้าของกิจการในเครืออมตะนครหลายแห่ง
“ผมก็มีความยินดีกับบทบาทในการบริหารของคุณวิกรม แต่ผมเรียนท่านว่าท่านจะเป็นอมตะ ก็ต่อเมื่อเดินตามกระบวนการกติกา แต่ถ้าแหกกฎกติกา ผมกลัวว่าความเป็นอมตะ หมายความว่าไม่มีใครทำอะไรได้”
อัศวินม้าขาว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
“คนนี้นอกโผ อัศวินม้าขาวที่หลายคนยัดเยียดให้ โดยพล.อ.ประยุทธ์ ถูกกดดันให้ยึดอำนาจ และบางคนคิดสุดลิ่มไปเลยว่า เมื่อยึดอำนาจก็ให้เป็นนายกฯเป็นเหมือนอัศวิน แต่ผมยังชื่อใจทุกที ที่พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าบ้านเมืองต้องทำตามกฎหมาย และไม่รับสัญญาณจากใคร ใครจะมาปฏิวัติไม่ได้ แต่เอามาเปิดเผยให้ดูว่ามีคนคิดอย่างนี้เหมือนกัน”
“ที่ผมบอกมีหลายคนเป็นตัวเต็ง หลายคนเป็นตัวสอดแทรก แต่มีอีกตัวละสายตาไม่ได้ อันตรายยิ่งกว่าตัวสอดแทรก เพราะอันนี้เขาเรียกตัวกระเสือกกระสน เต็ง 1 – 3 ม้ามืด ม้าขาว ยังไม่มีใครแสดงออกชัดว่าอยากเป็น แต่ตัวกระเสือกกระสนอยากมาก ตัวสั่นทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นนายกฯ เขาชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
“หมายความว่าอะไรก็ได้ก็ตาม ขอให้เก้าอี้นายกฯมาให้ มันเอาทั้งนั้น แพ้เลือกตั้ง เขาไปตั้งรัฐบาลให้ในค่ายทหารก็เอา เป็นหัวหน้าพรรคไม่กี่ปี บอยคอตเลือกตั้ง 2 หนก็ทำ และเลือกตั้งครั้งต่อไปก็บอยคอตอีกเพื่อพยายามทำให้ทางตัน เพื่อสู้กันส้มหล่นที่ตัวเอง เป็นนายกฯ”
ทั้งนี้ในช่วงท้าย “ณัฐวุฒิ” ได้กล่าวว่า
“และหากพร้อมใจกันปฏิเสธหมด ก็จะได้ชัดว่าตกลงการเป็นนายกฯแบบนี้ ใครเขาก็ไม่ต้องการ ใครก็ไม่อยากได้เพราะเป็นเรื่องนอกกฎหมาย แต่ถ้าไม่ปฏิเสธ ก็เป็นเสรีภาพของท่าน ผมจะไปว่าอะไรท่าน แล้วถ้าท่านจะบอกว่า พวกผมไม่รู้ พวกพี่ไม่เกี่ยว ก็ไม่มีปัญหาอีก”
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลจากนายณัฐวุฒิที่ชิงปล่อยออกมา ส่วนจะมีน้ำหนัก เพียงใด คงต้องดูกันต่อไป