“เกษียร” เปรียบ “ปชต.” เหมือน “ปีศาจ” ที่เสียงข้างน้อยหวาดกลัว
“สปป.” แถลงโต้คำวินิจฉัยศาลรธน.ปมเลือกตั้งโมฆะ “วรเจตน์” ลั่นศาลไม่สามารถตัดสินคดีอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ได้ ”เกษียร” เปรียบ “ปชต.” เหมือน “ปีศาจ” ที่เสียงข้างน้อยหวาดกลัว ”ประจักษ์” เตือน “เข็นครกขึ้นเขา” ระวังพังครืนล้มทับตัวเอง ”พวงทอง” ซัด “องค์กรอิสระ” คือต้นตอขัดแย้ง นำสังคมสู่ความรุนแรง
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2557 ที่ห้องประกอบ หุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) กลุ่มสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย จัดแถลงข่าวกรณีศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ นำโดย ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ กลุ่มนิติราษฎร์, รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ, ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และรศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์ถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อการเมืองไทย
@”วรเจตน์” ลั่นศาลไม่สามารถตัดสินแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ได้
ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ กล่าวว่า ตกลงคะแนนเสียงของคนที่ไปเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มันเสียหรือไม่ ให้ดูจากที่ศาลตัดสินคดี ซึ่งศาลไม่สามารถตัดสินคดีครึ่ง ๆ กลาง ๆ ได้ คือการตัดสินคดีในทางกฎหมาย เมื่อตัดสินแล้วต้องเป็นข้อยุติ และจบลงโดยไม่มีปัญหาให้ต้องตีความออกไปอีก อย่างไรก็ดีกังวลว่าคำวินิจฉัยเรื่องนี้จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะประเด็นที่ศาลตั้งคือการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ กับสิ่งที่มีผู้ร้องเข้ามาคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ไม่ตรงกัน
“ศาลไม่ได้ตอบว่าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ศาลตอบว่า พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 (พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ) เฉาพะส่วนที่กำหนดให้การเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้บอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต่อ” ดร.วรเจตน์ กล่าว
@”เกษียร” เปรียบ “ปชต.” เหมือน “ปีศาจ” ที่เสียงข้างน้อยหวาดกลัว
รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ กล่าวว่า มันจะชอบธรรมได้อย่างไรที่เสียงของคน 20 ล้านคนบวก 3 คนจะสู้เสียงคน 3 คนไม่ได้ ดังนั้นตนอยากชวนให้คิดกว้างกว่าแค่ตัวเลข ระบอบการเมืองที่เรามีอยู่มันบกพร่องร้ายแรงอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ มันถึงได้ปล่อยให้ม็อบเสียงข้างน้อย กับพรรคฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยที่บอยคอตคัดค้านขัดขวางการเลือกตั้ง ด้วยกำลังบังคับ ด้วยความรุนแรงอย่างผิดกฎหมาย และปล่อยให้คนเหล่านี้สามารถเงื่อนไขให้คน 6 คนล้มคะแนนเสียงตามสิทธิหน้าที่และสิทธิโดยชอบของพลเมือง 20 ล้านคนได้
“คือมาถึงตอนนี้ ผมอดนึกเป็นภาพในหนัง คือมีบรรดาพลังเสียงข้างน้อยทั้งปวง อาจเป็น กปปส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ หรือสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งต่างพากันวิ่งหนีปีศาจที่ชื่อว่าประชาธิปไตยกันจ้าละหวั่น ปีศาจที่มาในนามของคนเท่ากับ 1 คน 1 เสียง รัฐบาลโดยประชาชน แปลกดีที่เสียงข้างน้อยเหล่านี้ กลัวมาก และปราบไม่อยู่ วิ่งหนีอยู่นั่นแหละ บอกว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญอยู่นั่นแหละ” รศ.ดร.เกษียร กล่าว
รศ.ดร.เกษียร กล่าวอีกว่า ภาพที่ปรากฏเห็นชัดเจนแล้ว ระบอบเสรีประชาธิปไตยที่มีมันไม่สามารถทำงานได้ มันกลายเป็นระบอบคนพิการ หลักพื้นฐานของระบอบนี้คือดุลกันระหว่างการปกครองโดยเสียงข้างมาก กับสิทธิและเสรีภาพของเสียงข้างน้อย แต่เสียงข้างน้อยกลับเอาเสียไปหมด จนแม้แต่เราไม่สามารถมีการเลือกตั้งปกติที่คนทั้งโลกมีได้ ดังนั้นด้วยสิทธิโดยชอบ หลังจากเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่ เราคงต้องใช้สิทธิของเราจำกัดอำนาจ จำกัดระเบียบการใช้อำนาจขององค์กรอิสระ และอำนาจตุลาการให้ชัดเจน จนคืนดุลให้กับระบอบ และอะไรที่จัดระเบียบไม่ได้ก็อาจจะต้องยุบ แต่เราทำได้โดยชอบ เพราะอำนาจเป็นของเรา เราเป็นเจ้าของประเทศ
@”ประจักษ์” เตือน “เข็นครกขึ้นเขา” ระวังพังครืนล้มทับตัวเอง
ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ กล่าวว่า ไม่เป็นความลับอีกต่อไปว่าความพยายามทั้งหลายที่ดำเนินมาทุกวันนี้ รวมไปถึงคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นจิ๊กซอว์อีกชิ้นหนึ่งที่ปูทางไปสู่การตั้งรัฐบาลนอกวิถีประชาธิปไตย และได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนกลาง ซึ่งความหมายทางการเมืองคือนอกกติกา และนอกวิถีประชาธิปไตย โดยความพยายามนี้เปรียบเสมือนหนังม้วนเก่า ฉายซ้ำมาหลายครั้งในรอบ 7 – 8 ปีที่ผ่านมา เพียงแต่เปลี่ยนนักแสดงไปเรื่อย ส่วนผู้อำนวยการสร้างเป็นทีมเดิมตลอด
“คำถามคือไม่เบื่อบ้างเหรอที่เล่นเกมซ้ำซาก ขาดความชอบธรรมทางการเมือง และไม่มีหนทางไปสู่ชัยชนะได้เลย ทั้งคนเล่นและคนกำกับ ถ้าดูตั้งแต่รัฐประหารเมื่อปี 2549 ก็ต้องกลับมาเลือกตั้งใหม่ เลือกเสร็จก็เพ้อีก มีการใช้กลไกอนาธิปไตยทุกอย่าง สุดท้ายก็กลับมาเลือกตั้งแล้วก็แพ้อีก หรือต่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้โมฆะ แล้วอย่างไร ก็ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ แล้วก็แพ้อีกรอบ ประชาชนก็เบื่อทั้งประเทศ” ดร.ประจักษ์ กล่าว
ดร.ประจักษ์ กล่าวอีกว่า ภารกิจเข็นครกขึ้นภูเขาของพวกเขา ตอนนี้มาถึงครึ่งทางแล้ว แต่ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร แต่คนเข็นพยายามจะเข็นไปถึงยอดให้ได้ แต่ตนทำนายไว้เลย ขึ้นไปถึงยอดเมื่อไหร่คงเคยได้ยินสุภาษิตว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว และการเข็นครกครั้งนี้ขาดความชอบธรรมทางการเมือง รวมไปถึงที่ยืนบนผานั้นแคบมาก ๆ เพราะฐานความชอบธรรมไม่มี ฐานความสนับสนุนทางสังคมไม่มี ยืนได้ไม่นาน จะล้มลงมาอย่างรวดเร็ว และครกนั้นจะล้มมาทับตัวคนที่เข็นไปด้วย ดังนั้นไม่มีวิถีทางอื่นนอกจากกลับมาสู่กติกาประชาธิปไตย สังคมไทยถึงสงบได้ และตัวท่านเองจะได้ไม่ต้องประสบชะตากรรมอันน่าเอนจอนาถใจด้วย
@”พวงทอง” ซัด “องค์กรอิสระ” คือต้นตอขัดแย้ง นำสังคมสู่ความรุนแรง
รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ กล่าวว่า ฝากถึงกลุ่มอำนาจทั้งหลายแหล่ กปปส. ปชป. องค์กรอิสระ ตุลาการ ความพยายามยึดอำนาจปวงชนไว้ในอุ้งมือพวกท่านคิดว่าเป็นที่รับรู้ทั่วไปแล้ว พวกเราในที่นี้รับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือกระบวนการตุลาการประหาร หลอกไม่ได้อีกแล้ว พวกเขารู้ดีว่ากระบวนการที่ทำกันเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงการยึดอำนาจโดยทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียด และอาจเกิดการต่อต้านโดยง่าย จึงหลีกเลี่ยงมาใช้กลไกทางกฎหมายในการยึดอำนาจ เพื่อหวังพรางตาคนดูด้วยความชอบธรรม
“แต่จริง ๆ มันน่าเกลียด เพราะว่าพวกท่านแก้ผ้ากันล่อนจ้อน จนคนเห็นกันหมดแล้ว เสียงเซ็งแซ่ ที่ด่าทอปรากฏมาดังมากไปทั่วโลก แต่ไม่มีความละอายใจ” รศ.ดร.พวงทอง กล่าว
รศ.ดร.พวงทอง กล่าวอีกว่า ข้อสำคัญไม่ว่ารัฐประหารโดยทหาร หรือโดยองค์กรอิสระ คือประชาชนจะไม่ยอมรับ อย่างไรก็ดีสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าคือการยึดอำนาจด้วยวิธีการใช้อำนาจขององค์กรอิสระ เพราะองค์กรเหล่านั้นเกิดขึ้นมาพร้อมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ต้องการให้มีการถ่วงดุลกลไกอำนาจรัฐ หวังเป็นที่พึ่งสุดท้ายเพื่อยุติความขัดแย้งให้ประชาชนยอมรับ
“แต่ในเมื่อบุคคลที่นั่งในองค์กรเหล่านี้ทำลายความน่าเชื่อถือ หมายความว่าประชาชนไม่มีทางออก เมื่อมีความขัดแย้งก็ไม่สามารถแก้ไขโดยสันติได้ เพราะพวกท่านคือต้นตอแห่งความขัดแย้ง เมื่อสังคมขาดองค์กรช่วยลดความขัดแย้ง สังคมไทยกำลังเดินลงสู่หุบเหวความรุนแรง และวันหนึ่งเมื่อตกลงไป คงยากที่จะฟื้นฟูสังคมให้กลับคืนมาได้อีก” รศ.ดร.พวงทอง กล่าว