นักวิชาการ-ภาคธุรกิจ รุมค้านขึ้นค่าแรง 300 แนะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจแทน
นักวิชาการแนะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจลดผูกขาดแทนขึ้นค่าแรง รองประธานสภาอุตสฯ ฟันธงลดภาษีเงินได้นิติฯไม่ได้ช่วยบรรเทาเอสเอ็มอี แต่เอื้อรายใหญ่ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชี้ 300 บาททำราคาบ้านพุ่ง
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า รัฐบาลควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการผูกขาด และสร้างบรรยากาศการแข่งขันมากขึ้น เพื่อให้ราคาสินค้าเป็นไปตามอุปสงค์อุปทานแท้จริง แทนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เพราะวิธีการนี้ทำให้รายได้สุทธิเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันการขึ้นค่าจ้างแต่ละครั้งควรผ่านการหารือทุกฝ่ายและผ่านกลไกไตรภาคี
ด้าน นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหาร ส.อ.ท.จะประชุมนัดพิเศษ เพื่อหารือนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยจะเสนอที่ประชุมพิจารณาผลกระทบนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท หากรัฐบาลดำเนินการจริงก็ควรมีมาตรการชดเชยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
"พรรคเพื่อไทยระบุว่ารัฐบาลใหม่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% แต่เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ไม่มีกำไรมาก บางส่วนไม่มีกำไร จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่แล้ว"นายทวีกิจ กล่าว
นายทวีกิจ กล่าวว่ารัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การออกเช็คให้เอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง ซึ่งอาจให้มาขึ้นทะเบียนและรับเช็คในช่วง 3 ปีที่มีการปรับตัวรับกับต้นทุนค่าแรงงานที่ปรับขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเอสเอ็มอีอาจนำเงินช่วยเหลือดังกล่าวมาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า หรือค่าแรงบางส่วน จากการสอบถามไม่ต้องการความช่วยเหลือโดยลดภาษีเงินได้นิติบุคคล
ทั้งนี้ผู้ประกอบการเห็นว่านโยบายปรับค่าจ้าง 300 บาท เป็นไปได้น้อย เพราะค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน ปัจจุบันจังหวัดพะเยาต่ำสุดวันละ 159 บาท ส่วนภูเก็ตสูงสุดคือวันละ 221 บาท ขณะที่ค่าจ้างในกรุงเทพฯอยู่ที่วันละ 215 บาท ถ้าจะปรับเฉพาะกรุงเทพฯ อาจเกิดปัญหาแรงงานไหลเข้ากรุงเทพฯมากขึ้น
"ผู้ประกอบการรายใหญ่จ่ายค่าจ้างมากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว เพราะใช้แรงงานที่มีทักษะและเครื่องจักรในการผลิต นโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจะทำให้รายใหญ่ได้ประโยชน์ ขณะที่เอสเอ็มอีจะมีภาระมากขึ้น และจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของรายใหญ่และเอสเอ็มอีห่างกันมากขึ้น"นายทวีกิจ กล่าว
ส่วนนายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ หลังจากที่พรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณกระตุ้นด้วยการกำหนดอัตราดอกเบี้ยซื้อบ้านหลังแรกร้อยละ 0 ระยะเวลา 5 ปีว่าระหว่างจัดตั้งรัฐบาลอาจทำให้การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคชะลอลงเพื่อรอผลของมาตรการ แต่เมื่อมาตรการมีผลก็จะเร่งให้คนที่มีความต้องการซื้อบ้านตัดสินใจเร็วขึ้น
นายกิติพล กล่าวว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้อาจไม่สามารถขยายตัวเท่าปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราขยายตัวต่ำกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 10 เนื่องจากปีที่แล้วผลของมาตรการที่หมดอายุไปแล้วมีส่วนเร่งให้คนซื้อบ้านมากขึ้น ส่วนประเด็นที่ผู้ประกอบการห่วงใยและกระทบต้นทุนคือค่าแรงงาน หลังจากพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายปรับค่าแรงขั้น 300 บาท ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ 10 และอาจส่งผลให้ต้นปีหน้าต้องปรับราคาขายอสังหาริมทรัพย์ขึ้น เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น ที่ผ่านมาการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ต้นทุนค่าแรงงานจะมีสัดส่วนร้อยละ 25-30 ขึ้นอยู่กับว่าเป็นแนวราบหรืออาคารชุด
ด้านนายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า มาตรการอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ระยะเวลา 5 ปี ช่วยกระตุ้นการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ได้มาก โดยจะทำให้เติบโตได้เป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตามนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทภายใน 1 เดือนข้างหน้า 3 สมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยื่นหนังสือถึงรัฐบาล เพื่อให้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปภายในระยะเวลา 4 ปี เพื่อไม่ให้กระทบต้นทุนผู้ประกอบการ ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเห็นว่าหากภาครัฐมีมาตรการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น เห็นว่าไม่สามารถชดเชยต้นทุนค่าแรงได้ เนื่องจากการเสียภาษีจะทำเมื่อมีกำไรเท่านั้น .
ที่มาภาพ : http://www.buriramguide.com/8986 /สาระดีๆ-มีไว้ให้อ่านที่นี่/History-ประวัติความเป็นมา/วันแรงงานแห่งชาติ-วันกรรมกรสากล.html