บรรทัดสุดท้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” : ขรก.ผู้ไม่ก้มหัวให้ความอยุติธรรม
“…ผมก็บอกว่าผมกลับไปทำงานเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติบ้านเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ผมไม่ได้ไปรักษาเสถียรภาพให้รัฐบาล ไม่ได้รักษาผลประโยชน์ให้รัฐบาล ทำไมผมจะกลับมาทำงานไม่ได้…”
เป็นที่น่า “โล่งอกโล่งใจ” สำหรับ “ถวิล เปลี่ยนศรี”
ภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ผู้นี้ คืนตำแหน่งเลขาธิการ สมช. อีกครั้ง ภายใน 45 วัน หลังจากฟ้องร้องต่อสู้มาอย่าวยาวนานเกือบ 3 ปี ต่อกรณีมีคำสั่งโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม
โดยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 “ถวิล เปลี่ยนศรี” ได้ขึ้นเวทีปราศรัยบนเวที กปปส. ที่สวนลุมพินี เล่าเบื้องลึกเบื้องหลังระหว่างการต่อสู้คดี รวมไปถึงระบายความในใจเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวอย่างดุเดือด
“…เรื่องของผมมีอย่างเดียว ณ วันนี้คือว่า ต้องคืนตำแหน่งให้ผมภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่คืนไม่ทำ ไปคุยกับศาลเอง ไม่ต้องมาคุยกับผมอีกต่อไปแล้ว”
เป็นการยื่นคำขาดจากปากของ “ถวิล” ถึงรัฐบาล ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการศิโรราบให้กับการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ขอนำคำปราศรัยบางห้วงบางตอนของ “ถวิล” มานำเสนอ ดังนี้
“ผมไปยืนขวางทางเขา พล.ต.อ.วิเชียร ไปยืนขวางเขาอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ผมไปยืนขวางอยู่ที่ สมช. เมื่อเขาต้องการให้ญาติขึ้นที่ สตช. ก็ต้องไล่ พล.ต.อ.วิเชียร ไปที่อื่น พล.ต.อ.วิเชียร ก็มาไล่ที่ผม ผมก็ถูกไล่ที่ต่อไป มีเหตุผลอยู่แค่นั้นเอง
พล.ต.อ.วิเชียร โชคดีถูกไล่จากที่หนึ่ง มามีที่นั่งที่ผม แต่ผมถูกไล่กลายเป็นคนเร่ร่อน ไม่มีที่นั่ง
วันนี้ ผมก็ได้อาศัยศาลปกครอง คืนความเป็นธรรมให้ผม ผมจะได้ตำแหน่งคืนนับจากนี้ไปภายใน 45 วัน ก็คงไม่ต้องเร่ร่อนอีกต่อไป แล้วก็จะได้กลับไปนั่งในตำแหน่งของผม
…..
เหตุผลที่อ้าง ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ก็คือว่า ณ วันที่ย้ายผมนั้น เขาอ้างว่าผมเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในงานด้านความมั่นคง มีประสบการณ์ที่เป็นเลิศ ใช้คำว่าเป็นเลิศ ผมไม่ทราบว่าเขาพูดออกมาได้อย่างไร ซึ่งวันนี้ศาลได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า การย้ายผมไปนั้น นอกจากทำให้ผมสูงขึ้นจากนั่งทำงานชั้น 2 มาที่ชั้น 5 แล้ว อย่างอื่นไม่มีเลย
ที่บอกว่าผมเป็นเลิศ ไปนั่งตำแหน่งที่สูงขึ้น ศาลได้วิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า ตำแหน่งเดิม เลขาธิการ สมช. สามารถที่จะเสนอแนะ นโยบาย ยุทธศาสตร์ ตรงต่อนายกรัฐมนตรีได้ทันที ในขณะที่ตำแหน่งใหม่ที่ย้ายผมไปคือ ที่ปรึกษานายกฯ เป็นตำแหน่งทางวิชาการ
1.ผมไม่มีเจ้าหน้าที่ ไปคนเดียว ตำแหน่งเดิมผมมีลูกมือ มีเจ้าหน้าที่ช่วยทำงาน ตำแหน่งใหม่ผมเสนอแนะนโยบายยุทธศาสตร์ที่นายกฯ โดยตรงไม่ได้ ต้องผ่านอีกหน่วยงานคือสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือที่เลขาธิการนายกฯ ซึ่งตรงนี้ศาลชี้ให้เห็นว่า ที่นายกบอกวันนั้นว่า ให้ผมไปดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นนั้น ไม่จริงแต่อย่างใด
2.ความไม่จริงอีกอย่างคือว่า บอกว่า ย้ายผมไปเพื่อให้มีงานทำ เพื่อไปขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลได้เสนอแนะ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงต่อสภาก่อนหน้านั้น ปรากฏว่าผมไปอยู่ที่นั่นจนกระทั่งมาบัดนี้ 2 ปี 6 เดือน ไม่มีงานให้ทำ นอกจากนั่งตบยุงอยู่ที่นั่น
อันนี้ก็เป็นอีกอันหนึ่งที่ศาลชี้ให้เห็นว่า ไม่เป็นไปตามที่นายกฯกล่าวอ้างในคำสั่งที่ย้ายผมไป แต่เหตุผลที่แท้จริงก็คือ ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรมที่กำหนดไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญ ใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ในประมวลจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่เป็นไปตามนั้นเลย ฉะนั้นศาลปกครองสูงสุดบอกว่า การย้ายผมนั้น จากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ไปเป็นตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำนั้น เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผลที่เกิดขึ้นก็คือว่า ศาลบอกว่า ให้ยกเลิกประกาศคำสั่งที่ให้ผมพ้นตำแหน่งเลขาธิการ ไปดำรงที่ปรึกษา ให้คืนตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ให้กับผม เสมือนว่าผมไม่เคยพ้นจากตำแหน่งนั้นมาก่อน
ถ้าเป็นอย่างนี้ หมายความว่า ผมจะได้รับการย้อนกลับไปเป็นเลขาธิการ ณ วันที่ผมย้อนกลับมา และก็เป็นต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ นั่นหมายความว่า อย่างน้อยที่สุด มีเลขาธิการตัวปลอมขวางผมอยู่ 2 คน
คนแรก พล.ต.อ วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ซึ่งย้ายจาก สตช. ในตำแหน่ง ผบ.ตร. คนที่ใจอ่อนยอมให้เขาย้ายได้ โดยแลกกับตำแหน่งเพื่อนในวงราชการ
พล.ต.อ วิเชียร ซึ่งต่อมาเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม ไปแย่งที่เขาที่กระทรวงคมนาคมอีกทีหนึ่ง ก็ต้องถูกถอนออกไป นั่นคนที่หนึ่ง สวนถอนไปสู่ตำแหน่งไหนไปคิดเอาเอง ไม่ใช่หน้าที่ของผม
คนที่สอง ที่ต้องถอนให้พ้นทางผมคือ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ซึ่งตอนนี้ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหน ต้องถอนไปสู่ตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ท่านนายกฯ ไปคบคิดกับคนที่เสนอแนะท่านเองแล้วกันว่าจะให้ไปอยู่ที่ไหน ไม่ใช่เรื่องของผมอีกเช่นกัน
เรื่องของผมมีอย่างเดียว ณ วันนี้คือว่า ต้องคืนตำแหน่งให้ผมภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่คืนไม่ทำ ไปคุยกับศาลเอง ไม่ต้องมาคุยกับผมอีกต่อไปแล้ว
นี่คือความยุติธรรมที่เกิดขึ้น หลายคนถามผมว่า ผมเป็นห่วง ผมกังวลอะไรนักหนา อาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา กับตำแหน่งที่เป็นหัวโขน ผมเรียนกับพี่น้องเลยว่า ตั้งแต่วันแรกที่ผมต่อสู้ คือเมื่อ 2 ปี 6 เดือนที่แล้ว ผมไม่ได้อาลัยอาวรณ์ในตำแหน่งเลขาธิการ สมช. เพราะผมรู้ดีว่าวันหนึ่งผมก็ต้องพ้นตำแหน่งไป และ ณ วันนี้ ถ้าผมได้ตำแหน่งมา อีก 6 เดือนข้างหน้าผมก็ต้องพ้นตำแหน่งไป เพราะผมต้องเกษียณอายุราชการ
ผมไม่ได้อาลัยอาวรณ์ในตำแหน่งเหล่านี้ที่เป็นหัวโขน สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือสิ่งที่ผมถูกทำร้าย สิ่งที่ผมขาดหายไป นั่นก็คือความเป็นธรรม และความยุติธรรม
วันนี้ ด้วยความกรุณาของศาลปกครอง ผมได้รับคืนมาแล้วในทางคำพิพากษา และกำลังรอผลของความเป็นจริงอยู่ ผมไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญอีกต่อไปแล้ว ผมเป็นข้าราชการประจำฝ่ายพลเรือนก็ถึงขั้นสูงสุดแล้ว ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องไปใฝ่หา ไปแสวงหาอีกต่อไป ฉะนั้นผมไม่ได้สู้เพื่อลาภยศสรรเสริญอันใด แต่สู้เพื่อเกีรยติ เพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการ
สิ่งนี้ มีข้าราชการเลว ๆ ผมวงเล็บว่ามีไม่มาก แต่ทำร้ายระบบราชการได้มากไม่กี่คน คนเหล่านั้นเขาอาจไม่หวงแหนเกียรติศักดิ์ ศักดิ์ศรีของราชการ แต่พวกผมหวงแหน พวกเขาอาจจะทำตกหล่น อาจจะทำสูญหาย อาจเอาไปแลกกับลาภยศอย่างอื่น แต่พวกผมไม่ทำ
และพวกผมที่เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นข้าของแผ่นดิน เป็นข้าราชการของพี่น้องประชาชน พวกผมจะสู้ทุกอย่างเพื่อให้เกียรติและศักดิ์ศรีพวกนี้อยู่คู่กับเรา และได้รับการเคารพจากทุกฝ่าย
ผมเคยพูดหลายครั้งว่า อย่างผม ถ้าคนเก่า ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ใน สมช. ดั้งเดิมอย่างที่ผมเอ่ยชื่อท่านได้ พล.อ.อ.สิทธิ เสวตศิลา ก็ดี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ก็ดี พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ก็ดี และใครอีกหลาย ๆ ท่าน ซึ่งได้สร้างเกียรติประวัติสร้างผลงานให้กับประเทศนี้มาจนเป็นที่ประจักษ์ ถ้าบุคคลเหล่านั้นไม่ยึดมั่นอยู่ในระบบคุณธรรม ซึ่งผมเรียนแล้วว่าที่ตัดสินกันด้วยความรู้ความสามารถ อย่างผมเนี่ย อย่าว่าแต่เติบโตมาเป็นเลขาธิการ สมช. เลย แค่เป็นข้าราชการอาจจะยังเป็นไม่ได้ เพราะผม ป.4 ไม่มีเส้น
แต่ข้าราชการเหล่านั้นยึดมั่นในระบบคุณธรรม ระบบข้าราชการ ผมจึงมีที่ทางมาถึง ณ วันนี้ แล้วมาถึงวันหนึ่งผมจะยอมให้ระบบราชการถูกทำลายลงได้อย่างไร ระบบคุณธรรมต้องคงคู่กับระบบราชการตลอดไป
ผมถูกรังแก ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมต่อสู้ตามวิถีทาง ทุกอย่างดำเนินการไปตามตัวบทกฎหมาย ไม่มีอะไรที่นอกเกม เมื่อย้ายผมไม่ชอบธรรม ผมก็ไปร้องที่พนักงานพิทักษ์ระบบคุณธรรม ไปฟ้องที่ศาลปกครอง และต่อสู้กันมาจนถึงวันนี้ มาถึง ณ บรรทัดสุดท้ายของเรื่อง คือเรื่องยุติแล้ว ณ วันนี้
ยังมีเพื่อนข้าราชการอีกหลายคนที่ถูกทำร้ายด้วยระบบเผด็จการทุนสามานย์เอาแต่ใจทำร้าย เสียผู้เสียคน ท้อแท้ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ที่เคยทำงานเอาจริงเอาจังอยู่ก็หลบออกไป หมดที่จะดิ้นรนเพื่อต่อสู้ให้เป็นมักเป็นผลขึ้นมา เราสูญเสียคนเหล่านี้ไปในแต่ละปีไม่ใช่น้อย ๆ ด้วยการทำลายระบบคุณธรรมในราชการ
ผมยกตัวอย่าง ใน สมช. ถ้าพ่อแม่พี่น้องที่ติดตามข้อมูลข่าวสารเมื่อสัก 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ถูกรังแก เพื่อนผมอีกคนหนึ่ง คุณสมเกียรติ บุญชู ตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช. คนที่เข้ามาใน สมช. พร้อมผม คนที่เติบโตมาพร้อมกับผม มีความรู้ มีประสบการณ์ในงานด้านความมั่นคงต่างประเทศ งานด้านการก่อการร้าย งานด้านการแก้ไขปัญหาภาคใต้เป็นอย่างดี เพราะมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงมาเกือบ 40 ปีเหมือนผมเช่นกัน
ชะตากรรมที่เกิดกับคุณสมเกียรติ เหมือนผม หลังจากย้ายผมออกไปได้สัก 6 – 7 เดือน ในทำเนียบรัฐบาลอาจจะมีน้ำเน่า หรือยุงมากเกินไปอย่างไรไม่ทราบ ย้ายคุณสมเกียรติ ตามไปช่วยผมตบยุงที่เดียวกัน
นี่คือความเจ็บปวดของข้าราชการที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานมาด้วยความมานะบากบั่น วันหนึ่งเขาถูกย้ายออกจากสถานที่ที่เขาทำงานมา 30 กว่าปี ด้วยเหตุผลเดียวว่าเขาไม่ได้เป็นพวกกับรัฐบาลในขณะนั้น ก็คือรัฐบาลนี้แหละ เหตุผลอย่างเดียว ไม่มีเหตุผลอย่างอื่น เพราะถ้าพูดด้วยเหตุผลความรู้ความสามารถ เขามีมากกว่าอีกหลายคนที่เข้าไปแทนเขา
นี่คือความเจ็บช้ำน้ำใจ แต่คุณสมเกียรติเจ็บช้ำแค่นี้ไม่พอ ย้ายคนที่อยู่ใน สมช. 30 กว่าปีออก เอาคนที่ไม่เคยอยู่ใน สมช. มาเลย เข้ามาแทนตำแหน่งคุณสมเกียรติ นี่คือการตบหน้า 2 ที แต่คุณสมเกียรติไม่ได้ทำอย่างที่ผมทำ ไม่ได้ร้องกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ไม่ได้ฟ้องที่ศาลปกครอง แต่ถามว่าคุณสมเกียรติเจ็บปวดหรือไม่ เจ็บปวดไม่น้อยกว่าผมแน่นอน
ณ วันนี้ เมื่อศาลได้คุ้มครองผม คืนความเป็นธรรมให้ผมแล้ว ผมเรียกร้องว่าระบบราชการเราสูญเสีย ถูกทำลายด้วยอำนาจทางการเมือง แทรกแซงทางการเมืองมามากแล้ว ถ้าได้คืนความเป็นธรรมคุณสมเกียรติด้วย ไปพร้อมกับผม ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ จะลดทอนบาปกรรมที่ท่านได้ทำกับคุณสมเกียรติ แล้วแกไม่ร้อง คนอย่างคุณสมเกียรติเขาไม่ร้องเอ๋งหรอก เพราะเขาเป็นสิงห์ เขาเป็นเสือ
…..
เมื่อวานนี้ ณ เวทีนี้ คุณถาวร เสนเนียม รวมทั้งท่านกำนัน ได้พูดถึงแถลงการณ์ของข้าราชการ สมช. เขาตั้งท่าจะหารือผมหลายครั้ง ผมบอกว่าคุณอยู่ สมช. ขณะนี้คุณต้องตัดสินใจเอง เพราะผมอย่างเก่งก็จะอยู่กับคุณได้แค่ 5 – 6 เดือนจากนี้ไปแค่นั้น ฉะนั้นท่านต้องต่อสู้ดวยตัวท่านเอง
เขาก็พยายามหารือผม ผมก็บอกว่ามีแนวทางต่อสู้ของผมเอง อย่างที่ผมต่อสู้มาตลอด ถ้าศาลให้ผมชนะก็จบ ศาลไม่ให้ผมชนะ ผมก็จบ ผมก็ต่อสู้อย่างอื่นไป ดังนั้นท่านต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง และผมขอแสดงความชื่นชม ณ วันนี้ต่อข้าราชการ สมช. ที่ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ทุกคน ทุกนาม
ทำไมผมถึงต้องแสดงความชื่นชมข้าราชการ สมช. เหล่านั้น ผมไม่ได้ยกยอกันเอง ไม่ใช่เพราะบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาผมมาก่อน เหตุผลมีอย่างนี้ คือ
ผมเล่าให้ฟังแล้วว่า สมช. หลังที่ผมถูกกำจัดออกมา หลังจากเขาเอาคนของเขาขึ้นไปเป็นเลขาธิการแล้ว เขายังเอาคนของเขาเอง ที่เป็นายทหาร ยศพลโท เข้าไปแย่งตำแหน่งรองเลขาธิการใน สมช. อีก แล้วผมเรียนให้พ่อแม่พี่น้องทราบว่า ระบบการบริหารใน สมช. เพี้ยนไปหมด เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นมาในระบบบริหารราชการของ สมช.
ข้าราชการ สมช. ที่เขาออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ เขาหวานอมขมกลืน ปัญหาของเขาเองเขาไม่พูด แถลงการณ์ของเขาเมื่อวาน เห็นไหมว่าเขาไม่ได้พูดถึงความเจ็บปวดจากระบบที่ไปทำลายเขาได้อย่างไรบ้าง เขาไม่พูดถึงเลย แต่เขาพูดถึงสถานการณ์ของบ้านเมือง เขาพูดถึงปัญหาของบ้านเมือง จนกระทั่งมาถึงการแบ่งแยกดินแดน การตั้งกองกำลังขึ้นมาเพื่อทำร้ายประเทศชาติ
เขาสำนึกตรงนี้ ในฐานะที่เขาเป็นหน่วยความมั่นคง นายเขาไปอยู่ที่ไหน นายเขาที่รับผิดชอบโดยตรงกับเรื่องนี้ไปอยู่ที่ไหน เขาออกมาสะท้อนว่าเขาทนไม่ได้ กับหน่วยที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติโดยตรงนั้น เพิกเฉยต่อสิ่งที่มากระทบต่อความมั่นคงอย่างนี้ เขาทนไม่ได้ ส่วนที่ทำกับเขาในเรื่องของการบริหารจัดการ เขาคนของเขามาแย่งคนข้างใน จัดทำระบบบริหารราชการภายในจนปั่นป่วนไปหมด เขาไม่พูดถึงเลย
ผมยังคงมีอุดมการณ์ร่วมกับพ่อแม่พี่น้อง คำสั่งศาลการคืนตำแหน่งให้ผม ไม่สามารถทำลายอุดมการณ์ที่ผมมีร่วมกับพ่อแม่พี่น้องได้ มีทางเดียวที่ให้ผมกลับบ้านคือเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างที่พ่อแม่พี่น้องมีอุดมการณ์ร่วมกัน ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในทางการเมืองตามที่พวกเราตั้งใจไว้วันนี้ ก็กลับวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่มาอีก เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นพรุ่งนี้ ก็กลับพรุ่งนี้
มีสื่อเสื้อแดงหลายสำนักนั่งด่าผม แต่ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ยิน ผมก็บอกว่าผมกลับไปทำงานเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติบ้านเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ผมไม่ได้ไปรักษาเสถียรภาพให้รัฐบาล ไม่ได้รักษาผลประโยชน์ให้รัฐบาล ทำไมผมจะกลับมาทำงานไม่ได้
แล้วที่ตรงนั้นผมอยู่มาก่อน ผมอยู่มาตั้ง 30 – 40 ปี คนพวกนี้เข้ามา 2 - 3 ปี ทีแรกนึกว่าอยู่ได้ 4 ปี แต่อยู่ได้ 2 ปีกว่าก็ทำท่าทะล่อทะแล่แล้ว แล้วคงจะไปในไม่ช้านี้ เข้ามาก็ถืออำนาจบาตรใหญ่ ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยังเดินไม่ทั่วชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้าเลย ที่ออกคำสั่งย้ายผม เดินไปห้องน้ำถูกเปล่าก็ยังไม่รู้…”
ทั้งหมดนี้คือความในใจทั้งหมด ต่อการถูกโยกย้ายตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรมของข้าราชการที่ชื่อ “ถวิล เปลี่ยนศรี” ภายหลังต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองมายาวนานเกือบ 3 ปี !
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก www.esanguide.com