สุณัย ผาสุข : อย่าปลุกผี “ดาวสยาม – วิทยุยานเกราะ” ขึ้นมาอีก
“…แต่ละฝ่ายต้องมีการปรับตัว ฝ่ายกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ต้องยอมรับว่ากติกา 1 คน 1 เสียงมันเป็นประชาธิปไตย มันคือรากเบื้องต้น หลังจากนั้นคุณจะปฏิรูปอะไรก็ตาม ก็ต้องเริ่มจากประชาธิปไตย ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมรับว่าเสียงข้างมากที่เขาอาจจะได้อีกครั้งหนึ่ง ก็ต้องเป็นเสียงข้างมากที่มีความรับผิดชอบ ไม่ได้มีเสียงข้างมากที่เป็นเผด็จการผูกขาดในสภา อย่างนี้ประเทศจะไปรอดได้…”

กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมขนาดหนัก!
กรณีที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงขึงป้ายผ้าต้องการแบ่งแยกประเทศเป็น “สปป.ล้านนา” ซึ่งสอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ “เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล” แกนนำรักเชียงใหม่ 51 ที่ยืนยันว่าทนกับความอยุติธรรมไม่ไหวและต้องการแยกประเทศ
“อย่าปลุกผีดาวสยาม – วิทยุยานเกราะ กรณี สปป.ล้านนา”
เป็นข้อความที่โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ของ “สุณัย ผาสุข” ที่ปรึกษาองค์การฮิวแมนไรต์ วอชต์ (Human Rights Watch) ประจำประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้
เป็นการส่งสาร "ตรง" ถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต่อกรณีนี้ โดยเฉพาะ "สื่อมวลชน" ว่า เขาไม่ต้องการให้สถานการณ์ในสังคมไทยย้อนกลับไปเป็นเหมือนในยุคเผด็จการทหารอีก ซึ่ง “สื่อ” มีอิทธิพลอย่างมาก จนส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
“วิธีคิดแบบสื่อ โดยเฉพาะที่เป็นสื่อการเมือง หรือสื่อเลือกข้างชัดเจน วิธีการพูดถึงฝ่ายตรงข้ามเป็นลักษณะในการลดทอนความเป็นมนุษย์ เพิ่มความเกลียดชัง และมีการยั่วยุให้กระทำการรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้ามด้วย”
เป็นคำยืนยันจากปากของ “สุณัย” ที่กล่าวกับ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org
ทำไม “สุณัย” จึงกล่าวเช่นนั้น อ่านได้จากบทสัมภาษณ์ ชิ้นนี้
@เห็นโพสต์ในทวิตเตอร์ว่ามีการปลุกผีดาวสยาม – วิทยุยานเกราะ สถานการณ์ปัจจุบันถึงขั้นนั้นหรือยัง
ก็คือการสร้างความเกลียดชังถึงขนาดที่ว่าไล่คนออกประเทศ คือมันไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เกิดตั้งแต่ตอนบอกว่าถ้าอยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ในไทย วิธีคิดแบบนี้มันเป็นการมองคนเห็นต่างว่าอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้เลย ซึ่งมันเป็นวิธีคิดที่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ และทุกครั้งที่เกิดวิธีคิดแบบนี้ สิ่งที่เกิดตามมาคือการฆ่ากันโดยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายที่ถูกฆ่าไม่ใช่คนด้วยซ้ำ มีการสนุกสนานที่เห็นการฆ่า การเจ็บ การตาย ของฝ่ายตรงข้าม
พอสัญญาณแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในบรรยากาศที่การเมืองเผชิญหน้า มันจึงควรเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายในสังคมควรให้ความสนใจ และพยายามจะแก้ไขวิธีคิดเหล่านี้ ไม่ใช่ไปคอยตื่น แล้วแห่กระแสให้มันร้ายแรงขึ้นไปอีก
ตอนนี้ผมกังวลว่าแทนที่จะทำความเข้าใจว่าปัญหามันมาจากอะไร ทำไมคนถึงรู้สึกว่าแต่ละฝ่าย ไม่ได้พูดถึงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ทั้ง 2 ข้าง เห็นว่า อยู่บนแผ่นดินเดียวกันไม่ได้ทั้งคู่ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กับแนวร่วมก็บอกว่าอยู่กับ พรรคเพื่อไทยกับเสื้อแดงไม่ได้ อีกฝ่ายก็เช่นเดียวกัน มันเกิดอะไรขึ้น นี่คือที่เราต้องทำความเข้าใจ แต่ว่าตอนนี้มันกลายเป็นว่าแทนที่จะพยายามทำความเข้าใจ ต้นตอคืออะไร จะแก้อย่างไร เรากลับไปยุส่งว่า ดำเนินคดีไปเลยถ้ามันเป็นฝ่ายตรงข้าม อีกฝ่ายก็บอกว่ายกขบวนเข้ามาเผชิญหน้ากันเลย
ซึ่งวิธีคิดแบบนี้มันเป็นวิธีคิดที่น่ากังวลมาก โดยเฉพาะสังคมที่ผ่านบทเรียนมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่มีการเรียนรู้บทเรียนเหล่านั้นเลย
@ประเด็นอะไรสำคัญที่สุด ที่ทำให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันไม่ได้อีกแล้ว
ผมมองว่าประเด็นหลัก ๆ คือเรื่องของหลักการเกี่ยวกับการจัดสรรอำนาจทางการเมืองว่า ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าอำนาจทางการเมืองมีความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเหมือนกับสิ้นหวังกับระบบเลือกตั้งแล้ว เนื่องจากนำมาซึ่งการผูกขาดอำนาจในรัฐสภา นำมาซึ่งการทุจริตที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นจึงต้องการพักวิธีการเลือกตั้งไปก่อน
ฉะนั้นวิธีคิดที่มันไปด้วยกัน 2 แนวทาง ถ้าดูไปแล้วฐานเสียงสนับสนุนคนเป็นหลาย ๆ ล้านคนด้วยกันทั้งคู่ มันเป็นรากของปัญหาครั้งนี้ ถามว่าทุกคนอยากให้ประเทศนี้ดีขึ้นหรือไม่ ตอบเลยว่าอยาก แต่อยากทำให้ประเทศดีขึ้นด้วยวิธีการที่ต่างกัน บนฐานของสิ่งที่ต่างกัน
พอคิดอย่างนี้ พอมันมีการสร้างกระแสว่า คนที่ไม่เห็นด้วยไม่ใช่คนไทยบ้าง อยู่ร่วมแผ่นดินนี้ไม่ได้บ้าง ถึงขั้นไล่ให้ไปแยกดินแดน ผมว่ามันไปผิดทางแล้ว
@มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้กลับมาคุยกันเหมือนเดิม
ผมมองว่าอย่างไร การแก้ปัญหาต่าง ๆ ควรใช้วิธีการที่ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้กำลัง ซึ่งตามกรอบกติกาที่มีอยู่คือการเลือกตั้งที่เคารพได้มากที่สุด เนื่องจากทุกคนมี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน แล้วก็ดูว่าแต่ละฝ่ายมีผู้สนับสนุนมากน้อยเท่าไหร่ แล้วก็วัดกันด้วยเสียงข้างมากก็มีอำนาจ
ขณะที่เสียงข้างมาก อันนี้ก็เป็นบทเรียนที่พรรคเพื่อไทยต้องเรียนรู้ ก็คือ เสียงข้างมากต้องไม่ยึดติดกับเสียงที่ตัวเองยึดกุมอยู่จนกลายเป็นเผด็จการในสภา แต่ต้องเป็นเสียงข้างมากที่ต้องฟังการท้วงติง การตรวจสอบจากเสียงข้างน้อยด้วย อันนี้ถึงจะพาประเทศออกไปได้
แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่า ฝ่ายเพลี้ยงพล้ำในสภาก็หมดความไว้เนื้อเชื่อใจในระบอบการเลือกตั้งแล้ว ขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็ยังหวังว่าการเลือกตั้งจะนำมาซึ่งความชอบธรรมอีก และเขาก็ยังได้แสดงท่าทีว่าสิ่งที่เขาทำมาก่อนหน้านี้เป็นความผิดพลาด เรื่องที่เขาใช้เสียงข้างมากลากไป
แต่ละฝ่ายต้องมีการปรับตัว ฝ่ายกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ต้องยอมรับว่ากติกา 1 คน 1 เสียงมันเป็นประชาธิปไตย มันคือรากเบื้องต้น หลังจากนั้นคุณจะปฏิรูปอะไรก็ตาม ก็ต้องเริ่มจากประชาธิปไตย ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมรับว่าเสียงข้างมากที่เขาอาจจะได้อีกครั้งหนึ่ง ก็ต้องเป็นเสียงข้างมากที่มีความรับผิดชอบ ไม่ได้มีเสียงข้างมากที่เป็นเผด็จการผูกขาดในสภา อย่างนี้ประเทศจะไปรอดได้
แต่ตอนนี้ สัญญาณมันไปในทิศทางตรงกันข้ามหมดเลยว่า ต่างฝ่ายต่างยึดในประโยชน์ที่ตัวเองจะได้สูงสุด ไม่มีการประนีประนอมใด ๆ ต่อกัน แล้วอย่างที่คุยกันว่า ไม่จะเรื่องดาวสยาม หรือวิทยุยานเกราะก็ตาม มันปั่นกันไปถึงขนาดนั้น คนที่เป็นศัตรูอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว
@พฤติกรรมสื่อปัจจุบันใกล้เคียงกับหนังสือพิมพ์ดาวสยาม – วิทยุยานเกราะ หรือยัง
เป็นไปมานานแล้ว คือวิธีคิดแบบสื่อ โดยเฉพาะที่เป็นสื่อการเมือง หรือสื่อเลือกข้างชัดเจน วิธีการพูดถึงฝ่ายตรงข้ามเป็นลักษณะในการลดทอนความเป็นมนุษย์ เพิ่มความเกลียดชัง และมีการยั่วยุให้กระทำการรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้ามด้วย
@สื่อควรจะตรวจสอบให้มันรอบด้านก่อนหรือไม่ เช่น กรณี สปป.ลานนา ไม่มีใครไปถามเลยว่าจะแยกประเทศจริงหรือไม่
ใช่ คือ 1.เรื่องตรวจสอบความจริงให้รอบด้าน คุยกับคู่กรณีที่เราต้องการจะตรวจสอบหรือกล่าวหาเขา ต้องฟังเสียงจากฝั่งนั้นด้วย
2.ต้องเข้าใจว่าในทุกสังคม ไม่มีสังคมไหนที่คนคิดเห็นเหมือนกันหมด แม้แต่ในประเทศเผด็จการก็ยังมีฝ่ายค้านอยู่ใต้ดิน และในประเทศเปิดอย่างประเทศไทย แน่นอน ต้องมีคนคิดเห็นแตกต่างมากมายหลายขั้วแน่ ๆ คนคิดเห็นเหมือนกันไม่ได้ ดังนั้นการใส่ร้าย ป้ายสี หรือผลักดันคนที่คิดไม่เหมือนกับเราเชื่อ เรานิยม กลายเป็นศัตรู หรือไม่ใช่คน มันเป็นวิธีคิดที่จะทำให้สังคมมันแตกร้าวไปมากกว่านี้
มันเป็นปัญหาเหมือนกัน และอยากจะย้ำว่าปัญหานี้มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ทางฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือ กปปส. กระทำกับฝ่ายพรรคเพื่อไทย และเสื้อแดงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สื่อทางฝั่งเสื้อแดงเอง ก็กระทำเช่นนี้กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมด้วยเช่นกัน
ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ว่าไม่มีการฉุกคิดหรือติดเบรกวิธีการทำหน้าที่ของสื่อ โดยเฉพาะสื่อหัวการเมืองอย่างชัดเจน มันก็เลยกลายเป็นว่า ยิ่งความขัดแย้งดำเนินไป ความเกลียดก็ยิ่งมากขึ้น มันเหมือนงูกินหางตัวเองไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเรื่องวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง (Hate Speech) มันถึงรุนแรงขึ้นในสังคมไทย
@คนไทยไม่ค่อยตระหนักเรื่องสิทธิมนุษยชนใช่หรือไม่
คือในประเทศไทย การต่อสู้ทางการเมืองถูกเอามาใส่ในกรอบของการต่อสู้แบบครอบจักรวาลวิทยา อิงกับศาสนา มันเป็นเรื่องของการถูก – ผิดแบบสมบูรณ์ คือใครที่อยู่ฝ่ายไหน ก็คิดว่าฝ่ายตัวเองถูกอย่างที่สุด ฝ่ายตรงข้ามถ้าเกิดไม่เห็นด้วยก็จะต้องเป็นคนเลวอย่างที่สุดเช่นกัน และถูกมองไม่ใช่คน
โลกของคนไทยเป็นโลกขาว – ดำ โดยเฉพาะในการต่อสู้ของการเมืองร่วมสมัย เป็นการต่อสู้ที่ขาว – ดำมาก ๆ และทั้ง 2 ด้านเป็นเหมือนกัน ปัญหาจึงไม่ใช่ที่จะจำกัดให้ กปปส. เป็นฝ่ายเดียวที่จะต้องแก้พฤติกรรมเช่นนี้ ขั้วตรงข้ามก็ต้องปรับพฤติกรรมเช่นนี้ด้วยเช่นกัน
@กรณีที่ฝ่าย กปปส. โดนระเบิดมีคนบาดเจ็บ มีคนตาย ใครควรรับผิดชอบ
ความรุนแรงไม่ว่าจะเกิดโดยฝ่ายใด และผู้ถูกกระทำเป็นฝ่ายใดก็ตาม จะต้องอำนวยให้เกิดความยุติธรรมแบบไม่เลือกหน้า และต้องรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาที่เห็นคือว่า เจ้าหน้าที่รัฐเน้นให้ความสนใจว่า กปปส เป็นผู้ทำความผิด ไม่ใช่กรณีที่ กปปส. หรือแนวร่วมเป็นผู้ถูกกระทำ มันก็เลยเห็นว่าเป็นการลักลั่น ไม่เท่าเทียมกันอยู่ ซึ่งเราก็เรียกร้องมาโดยตลอด
เพิ่งจะมีขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) เพิ่งแถลงความคืบหน้ากรณีที่ กปปส. เป็นผู้ถูกกระทำ แต่เราก็เห็นว่าการกดดันก็มีผลจนฝ่ายรัฐบาล หรือ ศรส. เห็นว่า จำเป็นต้องรายงานความคืบหน้าในคดีที่ฝ่าย กปปส. เขาเป็นเหยื่อด้วย มันก็เริ่มเห็นขึ้นมา
@มีหลายฝ่ายมองว่า ไม่ควรเอาเด็กไปอยู่ในม็อบทางการเมือง แต่ก็ถูกโต้กลับมาว่า จริง ๆ แล้วในม็อบต่างหากที่ไม่ควรมีความรุนแรง
มันมี 2 ประเด็นคือ 1.การทำร้ายผู้ชุมนุมไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือใครก็ตามมันเกิดขึ้นไม่ได้ การใช้กำลังไม่ว่าจะกระทำต่อใครก็เป็นเรื่องที่ผิดทั้งสิ้น ยิ่งทำต่อเด็กก็ยิ่งผิดเข้าไปใหญ่ ดังนั้นการทำร้ายคือผิดแน่นอน
2.เด็ก อยู่ในที่ชุมนุมเหมาะสมหรือไม่ ถ้าที่ชุมนุมเป็นที่ที่ให้ความรู้ ปราศรัยอยู่ในหลักในเกณฑ์ อหิงสาจริง ๆ ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ที่ชุมนุมของเราตอนนี้เป็นวาทกรรมของความเกลียดชัง เป็นที่ที่สร้างความขัดแย้ง แล้วเป็นที่ชุมนุมที่สภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่เหมาะกับการที่ให้เด็กที่เข้าไป ถูกกล่อมเกลาความคิดความเชื่อ
สำหรับผู้ใหญ่ที่เราคิดว่า มีความคิดความอ่านมากกว่ายังหลงไปกับวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง แล้วเด็กที่อยู่ในเวทีของทุกขั้วทุกสีที่สร้างความเกลียดชัง ก็ยิ่งทำให้เด็กซึ่งเป็นผ้าขาว ให้มันเปื้อนเร็วขึ้น และเปื้อนตั้งแต่เด็กมันล้างออกยาก มันจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ยกเว้นว่าคุณจะปรับวิธีคิด วิธีพูด อย่างคนบนเวทีให้ลดความเกลียดชังให้มันไม่เหลืออยู่เลย เหลือแค่การให้ความรู้ หรือโต้เถียงกันอย่างอารยะ อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เด็กจะได้เรียนรู้ได้ว่า คนเราเห็นต่างกันอยู่ร่วมกันได้อย่างอารยะ เห็นต่างกันไม่จำเป็นต้องฆ่าฟันกัน ถ้าเป็นอย่าง่นั้นเด็กไปได้ แต่ตอนนี้บรรยากาศบนเวทีไม่ใช่แบบนั้น
หมายเหตุ : ภาพประกอบจากyoutube
