เอกชนชี้ถ้ารัฐบาลดันทุรังค่าแรง 300 เอสเอ็มอีตายแน่ ส่วนกรรมกรจี้พูดแล้วต้องทำ
ผู้นำกรรมกรหวัง รมว.ใหม่เข้าใจปัญหาแรงงาน จี้ขึ้นค่าแรง 300 เป็นวาระด่วน ด้านเอกชนประสานเสียงค้าน ชี้หากดันทุรังเอสเอมอีไม่รอด แนะขึ้นเฉพาะแรงงานฝีมือ ส่วนบอร์ดค่าจ้าง กทม.เสนอปรับขึ้น 7 บาทเป็นวันละ 222 เข้าที่ประชุม 11 ก.ค.
นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เปิดเผยว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเร่งดำเนินนโยบายเกี่ยวกับด้านแรงงานอย่าง เร่งด่วน 3 เรื่องคือ 1.ให้ปฏิบัติตามนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ตามที่ได้หาเสียงไว้ก่อนเลือกตั้ง
2.รับรองอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศว่าด้วยการรวมกลุ่มและการเจรจาต่อรองนายจ้าง และ 3.แก้ไขกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ให้เอื้อต่อการจัดตั้งสหภาพแรงงานได้โดยง่าย และคุ้มครองแกนนำจัดตั้งสหภาพแรงงานไม่ให้นายจ้างไล่ออก รวมทั้งกฎหมายประกันสังคมให้ปรับปรุงสำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระ
"เมื่อพรรคเพื่อไทยหาเสียงว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 300 บาท ขอให้ทำจริง แม้ว่าอำนาจการขึ้นค่าแรงเป็นของคณะกรรมการค่าจ้างก็ตาม แต่เมื่อพูดแล้วก็เป็นเหมือนเชือกที่รัดคอเอาไว้แล้ว"นายชาลี กล่าว
นายชาลี กล่าวว่าในส่วนของรัฐมนตรีแรงงานคนใหม่ ขอให้พรรคเพื่อไทยจัดสรรบุคคลที่เข้าใจความทุกข์ของคนงาน มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้าถึงคนงานและไม่หนี้ปัญหา ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าปัญหาข้อเรียกร้องต่างๆที่แรงงานเสนอนั้น หากไม่เดือดร้อนจริงๆจะไม่ออกมาเรียกร้องอยู่แล้ว และที่ผ่านมารัฐมนตรีบางคนกลับไม่เข้าใจและมีทัศนคติดูถูกผู้ใช้แรงงานทำให้ ทำงานด้วยกันยาก
"หากรัฐมนตรีคนใหม่คือนายจารุงพงศ์ เรืองสุวรรณตามที่เป็นกระแสในขณะนี้ถือว่ามีความเหมาะสมเพราะเป็นปลัด กระทรวงแรงงานเก่า เข้าใจปัญหาและคุยกันง่าย"นายชาลี กล่าว
ด้านนายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่กำลังขึ้นมาเป็นรัฐบาล ที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ในทางปฏิบัติมีกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำดูแลอยู่ผ่านคณะกรรมการต่างๆ เพื่อพิจารณาและดำเนินการปรับเพิ่มค่าแรง แต่หากรัฐบาลต้องการขึ้นค่าแรงในทันที รัฐบาลต้องแก้กฎหมายดังกล่าวก่อน แล้วเขียนกฎหมายใหม่ขึ้นมา ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะดำเนินการได้ แต่หากจะใช้อำนาจสั่งการผ่านคณะกรรมการค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) คงทำได้ทันที
สำหรับการขึ้นค่าแรงดังกล่าว ควรต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ปี เพราะปรับขึ้นทันที จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งต้องปิดกิจการจำนวนมาก เพราะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จนไม่สามารถปรับตัวได้
"หากจะปรับขึ้นจริงๆ ควรทยอยปรับ เพราะเป็นเงินภาษีมาเยียวยาก็คงไม่มีผล และถ้าเราทำธุรกิจขาดทุน จะมีกำไรมาจากไหน ซึ่งอนาคตธุรกิจเอสเอ็มอีหายไปแน่นอน และเกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมหาศาล" นายสมมาต กล่าว
ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ควรจะเป็นการเพิ่มให้แรงงานฝีมือมากกว่า แต่หากจะเพิ่มให้กับแรงงานไร้ฝีมือ คงไม่สามารถทำได้ เพราะมีคณะกรรมการไตรภาคีทำหน้าที่พิจารณาอยู่แล้ว
ขณะที่นายสมพงษ์ นครศรี รองประธานอาวุโส ส.อ.ท. กล่าวว่า หากรัฐบาลจะให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน เอกชนคงไม่จ่ายเงินอย่างแน่นอน เพราะไม่มีเงินจำนวนมาก ดังนั้นรัฐบาลจะต้องหาเงินมาให้แก่ภาคเอกชนเพื่อนำไปจ่ายค่าแรงอีกครั้ง
ส่วน นางอำมร เชาวลิต ประธานคณะอนุกรรมการค่าจ้างกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยผลการประชุมคณะอนุกรรมการฯ (บอร์ด) ค่างจ้างฯ วันนี้ โดยระบุว่า บอร์ดได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในเขต กทม. เพิ่มอีก 7 บาท จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ 215 บาทต่อวัน หากไม่มีการปรับเปลี่ยนจะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำ กทม. เพิ่มเป็น 222 บาทต่อวัน
"ที่ประชุมพิจารณาตามสถานการณ์ปัจจุบัน อาทิ อัตราเงินเฟ้อ ราคาสินค้า ความจำเป็นของลูกจ้างและความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง ซึ่งทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างคุยกันด้วยเหตุด้วยผลและสรุปในอัตรานี้"
สำหรับขั้นตอนต่อไป คณะอนุกรรมการค่าจ้าง กทม.จะเสนอตัวเลขให้คณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรอง ซึ่งมีนายสุนันท์ โพธิ์ทอง รองปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานได้พิจารณา อย่างไรก็ตามยังไม่ได้กำหนดวันประชุมที่ชัดเจนในขณะนี้ หลังจากนั้นจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างกลางวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2554 .