“สื่อเลือกข้าง”ฉบับ“นิตยา มาพึ่งพงศ์-2 นักข่าว VOA
"..ถ้าหากว่ามองในความหมายถ้าคุณเป็นสื่อ คุณไม่น่าจะเลือกข้าง ใช่ไหมค่ะ เพราะว่าสื่อคุณเป็นที่ที่ถ่ายทอด ให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเขาได้เข้าใจประเด็น เพราะฉะนั้นถ้าสื่อเสนอประเด็นฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เป็นสื่อเต็มที่ อย่างที่มีหน้าที่ที่ควรจะเป็น .."
หมายเหตุ: นิตยา มาพึ่งพงศ์ (Nittaya Maphungphong) หัวหน้าแผนกไทยของ Voice of America (VOA) มีสำนักงานอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สนทนากับ เสนาะ สุขเจริญ สุทธิวรรณ ตัณญพงศ์ปรัชญ์. และ ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา ในการเดินทางไป VOA เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2557 โดยมี รัตพล อ่อนสนิท พินิตการณ์ ตุลาชม 2 ผู้สื่อข่าว VOA ร่วมสนทนาในประเด็นกระบวนการทำงานของ VOA และการทำหน้าที่ของสื่อ
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงเนื้อหาส่วนหนึ่งมาเสนอดังนี้
ช่วงหนึ่งของการสนทนา “นิตยา”บอกว่า ในเรื่องการทำงานของสื่ออเมริกันซึ่งมีการทำงานแบบข้ามสื่อจากสื่อสิ่งพิมพ์ไปสู่สื่อโทรทัศน์ แสดงให้เห็นว่าสื่อมีการแบ่งแยกกันมากขึ้น สื่อไม่ได้เป็นกลางเป็นเสียทั้งหมด อะไรก็ตามที่สื่อแสดงออกมามันแสดงให้เห็นว่า สื่อฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่เป็นกลาง แล้วอันนี้ไม่ได้คิดว่าเฉพาะในเมืองไทย ในอเมริกาก็มีสื่ออย่างนี้มาก แบ่งกันเลยว่านี่เป็นพวกก้าวหน้า นี่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม นี่เป็นพวกทีปาร์ตี้ (Tea Party-ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองใหม่ในสหรัฐอเมริกามีแนวคิดแบบขวาจัด) คิดว่าสื่อไทยในหลายๆจากที่ได้อ่านนะ ก็คิดว่ามีแนวโน้มไปในลักษณะเดียวกัน
“นิตยา”บอกต่อว่า ชินกับที่นี่ถ้าเราอยากรู้ข้อมูลอะไร หรือข้อเสนอแนะของทั้งสองฝ่าย ในที่เดียวกัน แต่เสร็จแล้วถ้าสื่อไม่เสนออันนั้นให้ เราก็มีความรู้สึกว่าได้ไม่ครบ แล้วมันก็แสดง Partiality ความฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของสื่อให้เราเห็น อันนั้นเป็นจุดสำคัญ
เมื่อถามว่า แท้ที่จริงสื่อมีความจำเป็นต้องเลือกข้างไหม?
“นิตยา”ตอบทันทีว่า ถ้าหากว่ามองในความหมายถ้าคุณเป็นสื่อ คุณไม่น่าจะเลือกข้าง ใช่ไหมค่ะ เพราะว่าสื่อคุณเป็นที่ที่ถ่ายทอด ให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเขาได้เข้าใจประเด็น เพราะฉะนั้นถ้าสื่อเสนอประเด็นฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เป็นสื่อเต็มที่ อย่างที่มีหน้าที่ที่ควรจะเป็น แต่ถ้าหากคุณเป็นนักเขียนแล้วเขียนบทวิเคราะห์ บทวิจารณ์ อันนั้นคุณจะเลือกข้าง อันนั้นเป็นสิทธิของคุณ ตราบเท่าที่คุณแสดงเหตุผลและอธิบายก็ว่าทำไมคุณถึงเลือกข้างนั้นข้างนี้
ถามต่อว่าตอนนี้ในเมืองไทยมีการพูดกันว่าสื่อมีปัญหา ตัวสื่อเองนายทุนสื่อเองก็บอกว่าสื่อมีปัญหาเพราะสังคมไทยมีปัญหา สื่ออ่อนแอเพราะสังคมมันอ่อนแอ โดยข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้นหรือ?
สังคมมันมีปัญหา แต่สื่อถ้าจะรายงานพูดกันในฐานะเป็นนักข่าว สื่อควรรายงานปัญหานั้นให้รอบด้านเท่าที่ควรจะทำได้ ใช่ไหมค่ะ อย่างที่พี่พูดเมื่อสักครู่ สื่อต้องเสนอประเด็นปัญหาและเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ผู้ที่เป็นสื่อแล้วก็เล่าเรื่องข่าวนี้ให้ฟังไม่ควรจะไปตัดสิน เพราะสื่อไม่มีสิทธิตัดสิน
แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นนักวิจารณ์เป็นผู้เขียนบทความ อันนั้นเป็นคนละเรื่องกันเลย แต่คุณเป็นสื่อ แล้วคุณรับทอดมาแล้วคุณพรีเซนท์
“รัตพล”กล่าวเสริมเชิงตั้งคำถามว่า แล้วสื่อไทยด้วยกันเอง มีความรู้สึกว่าเขาเลือกข้างกันมาตั้งแต่ก่อนหรือเปล่า
ในประเด็นนี้ “นิตยา”บอกว่า มีภาษิตฝรั่ง ภาษิตไทยด้วยละมั๊งว่าก็เขียนตามที่นายจ้างจะบอก ใช่ไหมค่ะ เพราะฉะนั้นเป็นที่เห็นกันว่า ถ้าสื่อนี้เขียนให้หนังสือพิมพ์นี้ หนังสือพิมพ์นี้เชียร์ใคร
“นิตยา”บอกอีกว่า ในอเมริกาเราก็มีการกล่าวหากัน นิวยอร์กไทม์สบอกว่านี่เป็นพวกหัวกล่าวหน้า แต่เสร็จแล้วปรากฎว่ามีนักข่าวในนิวยอร์กไทม์สที่ถูกรองประธานาธิบดี ดิก เชนีย์ หลอกเอาไปใช้ แล้วนี่ก็ออกมาเขียนข่าวที่ป้องกันเสนอให้กับทางฝ่ายรัฐบาล ทั้งๆที่เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่แสดงความหลากหลายด้วย
“รัตพล” กล่าวว่า สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ส่วนมากจะมองว่าโปรพรรคเดโมแครตใช่ไหม แต่มีรายการที่จ้างจากฟอกซ์นิวส์มาบาลานซ์ (ถ่วงดุล) อย่างนิวยอร์กไทม์ส ก็มีคอนเซอร์เวย์ทีฟ (อนุรักษ์นิยม)
“นิตยา”กล่าวว่าพวกนี้เป็นนักเขียนบทความ ถ้าหากอ่านข่าวของนิวยอร์กไทม์สเนี่ย เขาเสนอเรื่องข้อมูล อันนี้เราไม่ได้พูดถึงเรื่องบทความเลย เข้าไปอ่านข่าว เนื้อหานี่ ยกตัวอย่างเช่นผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีโกรธว่านายกเทศมนตรีเมืองเล็กๆในรัฐนิวเจอร์ซีคนหนึ่งเผอิญอยู่พรรคเดโมแครต คนละพรรคกับผู้ว่าการ แล้วเลือกตั้งปลายปีที่แล้ว นายกเทศมนตรีคนนี้บอกเขาไม่สนับสนุนผู้ว่าการซึ่งอยู่พรรคริพับลิกัน พอผู้ว่าการได้รับเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง เขาก็แกล้งเขาสั่งปิดถนนบนสะพาน ผู้ว่าการคนนี้ซึ่งใครๆมองกันว่าจะเป็นดาวรุ่ง และอาจลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2016 ตามข้างในเขาบอกว่าให้ปิดเลน 2 เลน บนสะพานจอร์จวอชิงตันที่ข้ามสะพานจากนิวเจอร์ซีไปนิวยอร์ก รถติด 4 ชั่วโมง มหาศาลเลยแล้วก็มาอ้างกันบอกว่าเขาจะทำแทรฟฟิคสตัดดี้ (ศึกษาปัญหาการจรจร)ซึ่งไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้น กรณีนี้เจ้าหน้าที่ที่รองจากเขาถูกไล่ออกอย่างน้อย 2 คน และลาออกไปก่อนหน้านั้นอีก 2 คน นี่ก็เป็นนิวยอร์กไทม์สจะเสนอข้อมูลให้ทุกด้าน
ขณะที่วอชิงตันไทม์สขวาจัด ซึ่งได้เงินสนับสนุนจากสาธุคุณมูนซึ่งเป็นคนเกาหลีใต้ (ผู้ก่อตั้งมูลนิธิซึ่งมีสมาชิกที่มักถูกเรียกว่า “มูนีส์”) แล้วมาอยู่ที่นี่ ส่วนวอชิงตันโพสต์ยังถือว่าเป็น ลิเบอรัลเป็นก้าวหน้า แต่ในวอชิงตันโพสต์ก็มี ถ้าดูข่าวนะโดยทั่วไปไม่พูดถึงบทความ เขาจะเขียนข่าวในลักษณะพยายามจะให้ข้อมูลทั้งหมด
“หลักจริงๆในแง่ของข่าวในแง่ของวิชาชีพ ผมคิดว่าคนที่เป็นนักข่าวควรทำเสนอข้อมูลให้รอบด้าน ให้มากที่สุด”พินิตการณ์เสริม
“นิตยา”กล่าวอย่าง VOA เป็นกฎเลยก็คือว่า ข่าวที่เราไปทำต้องเช็กเป็นอย่างน้อย 2 ซอร์ส(แหล่งข่าว)ขึ้นไปเพื่อความชัวร์ (แม่นยำ)
เมื่อถามในประเด็นการทำข่าวสืบสวน ในเมืองไทยปัจจุบันมีสื่อที่ทำข่าวประเภทนี้ข้างน้อย เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องความเป็นธุรกิจหรือความเป็นเจ้าของ สื่ออเมริกันทำหน้าที่ตรงนี้ได้น้อยหรือ ไม่ ?
“นิตยา”ตอบชัด
“ตอบได้ทันทีในตอนนี้เท่าที่รู้ไม่น้อยลง เพราะถ้าน้อยลงเราคงไม่ได้ยินเรื่อง เอ็นเอสเอที่หลุดออกไป (กรณีเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงสหรัฐ หรือเอ็นเอสเอ เปิดโปงแผนสร้างคอมพิวเตอร์แควนตัมของเอ็นเอสเอซึ่งสามารถทำลายระบบป้องกันข้อมูลคอมพิวเตอร์แทบทุกประเภทในโลกและถูกเปิดเผยในสื่อในสหรัฐ)
ขณะที่“รัตพล”มองต่างมุมออกอีกด้านว่า การทำข่าวสืบสวนของสื่ออเมริกาปรากฏในสื่อใหญ่ แต่มีอยู่น้อยในสื่อเล็กๆในท้องถิ่น
ทั้งหมดเป็นเสี้ยวหนึ่งในการสนทนาของคน VOA ฉบับเทศมองไทยและมองอเมริกัน