เสวนาปฏิรูปสื่อ เลือกข้างได้ แต่ต้องมืออาชีพ
เวทีเสวนาปฏิรูปสื่อ ผู้บริหารเครือมติชน ชี้สื่อเป็นไข้เพราะสังคมเป็นไข้ ระบุยังไม่จำเป็นต้องปฏิรูป แค่ทำงานโดยยึดหลัก “สุจริต-สุภาพ” ผู้ช่วยบก.ข่าวช่อง 7 วอนอย่างดึงสื่อไปเป็นคู่ขัดแย้ง กสทช.มองสื่อเลือกข้างได้ แต่ต้องทำงานแบบมืออาชีพ เสนอข้อเท็จจริงกับประชาชน
เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2557 ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดงานเสวนาสาธารณะในหัวข้อ “ปีใหม่ ปฏิรูปสื่อรอบใหม่ : สื่อไทยกับการสร้างต้นทุนใหม่ในการก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง” มีการเชิญตัวแทนหน่วยงานกำกับดูแลสื่อ ตัวแทนสมาคมวิชาชีพสื่อ และตัวแทนผู้ประกอบการสื่อทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์มาร่วมเป็นวิทยากร
นายฐากูร บุนปาน ผู้บริหารสื่อเครือมติชน กล่าวว่า ปัญหาของสื่อจริงๆ ไม่ใช่ปัญหาของสื่อฝ่ายเดียว แต่เป็นปัญหาของสังคม ถ้าบอกว่าสื่อเป็นไข้ สังคมก็เป็นไข้ด้วย โดยอาการที่เห็นได้ชัด 1.เราไม่เคารพข้อเท็จจริง ตัดสินได้จากหัวข่าว อันนี้เกิดกับทุกฝ่าย ซึ่งอาการนี้น่าเป็นห่วง และตนก็ไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร และ 2.มีการใช้โทสาวาทหรือ hate speech เรามีจุดยืนทางการเมือง ทางสังคม หรือทางอื่นๆ แตกต่างกันแล้ว ก็สามารถพัฒนาให้กลายเป็นการทะเลาะกันเป็นการส่วนตัวได้ด้วยคำผรุสวาทหยาบคาย
“อาการขนาดนี้ต้องปฏิรูปหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ แต่อย่างที่เรียน สื่อเป็นผลผลิตของสังคม ปฏิรูปแต่สื่อ สังคมไม่เปลี่ยน สื่อซึ่งเลือกข้าง หรือถูกตีตราว่าเลือกข้าง ก็จะอยู่ในสถานการณ์นี้เรื่อยไป มันต้องแก้ไปพร้อมๆ กัน แก้แต่สื่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องแก้รากเหง้าต้นตอปัญหาอื่นไปด้วย” นายฐากูรกล่าว
นายฐากูร กล่าวว่า ถ้าจับเฉพาะประเด็นสื่อ ตนไม่คิดว่าต้องถึงกับปฏิรูป ขอแค่ทำ 2 อย่าง คือ 1.สุจริต รายงานข่าวให้ตรงกับข้อเท็จจริง มันไม่มีมนุษย์ที่ไม่มีอคติ แต่อย่างน้อยต้องรู้ตัวเอง และจัดการอคติให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะข่าวต้องตรงไปตรงมาที่สุด สะท้อนข้อเท็จจริงให้รอบคอบรอบด้านที่สุด และ 2.สุภาพ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เป็นเรื่องที่ตนเข้าใจว่าไม่ได้เรียกร้องเฉพาะกับสื่อ แต่ต้องฝากอาจารย์ทั้งหลายคิดว่าอย่าใช้คำผรุสวาทต่อกัน ไม่เห็นด้วยกันได้ แต่อย่าถึงขนาดออกปากด่าให้มันอาฆาตบาดหมางรบราฆ่าฟันกันไปอีกหลายชาติเลย
นายสมโภชน์ โตรักษา ผู้ช่วยบรรณาธิการ (บก.) ข่าวสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 7 กล่าวว่า ตนเชื่อเราต้องเคารพความจริง ไม่มีใครเป็นกลางในชีวิตจริง เรามีความชอบ ไม่ชอบอยู่ในใจของเรา แต่สิ่งที่จะเป็นเครื่องตัดสินว่าเรามีวิชาชีพด้วยความเป็นธรรม เคารพด้วยจรรยาบรรณในวิชาชีพ คือการเสนอข้อมูลที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีอคติแอบแฝง แล้วให้ประชาชนจะตัดสิน
“สิ่งหนึ่งที่ผมพูดได้และเสียงดังพอคือ อย่าเอาสื่อมวลชนไปเป็นคู่ขัดแย้งเลยครับ ให้สื่อได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในการสะท้อนข้อเท็จจริงให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น” นายสมโภชน์กล่าว
นายสมโภชน์ กล่าวว่า ความขัดแย้งใดๆ ก็แล้วแต่ ถ้าเรารับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน และให้สื่อมวลชนซึ่งมีหน้าที่ในการนำเสนอข้อเท็จจริงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีอุปสรรคขัดขวางการทำหน้าที่ของเขา ประชาชนก็จะได้รับข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา มันสามารถที่จะตรวจสอบได้ ถ้าสื่อแขนงไหนนำเสนอข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง ประชาชนสามารถลงโทษได้ โดยไม่เปิดดูช่องเขา ไม่ซื้อสื่อเขา เป็นต้น
นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้องยอมรับความเป็นจริงคือ สื่อทุกสื่ออยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ ไม่ได้แปลว่าดีไม่ดี แต่ว่าความเกรงใจมันเกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นแล้ว สภาพนี้ก็เกิดจากเกรงใจ ไม่กล้าตัดสินใจ หรือเดินหน้าก็แล้วแต่ แต่สภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือในปัจจุบัน ไม่ต่างกัน อยู่ที่นโยบายแต่ละช่อง ซึ่งตนคิดว่าในมุมของสื่อก็มีข้อถกเถียง ซึ่งคิดว่าไม่มีข้อสรุปหรอก แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดคือสื่อมวลชนต้องทำหน้าที่ในการที่จะรายงานข้อเท็จจริง ข้อเท็จและข้อจริงอย่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
“ตกลงหน้าที่ของสื่อมวลชนในการรายงานสถานการณ์ความขัดแย้งมีแค่ไหน แค่นำเสนอข้อเท็จจริงพอ หรือนำเสนอเหตุการณ์ข้อเท็จจริง บวกความเห็น บวกทางออก หรือต้องส่งสัญญาณเตือนสังคมว่าถ้าขืนเดินหน้าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น หรือต้องกล้าที่จะเสนอทางเลือกฟันธงเลยว่าต้องไม่ทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ก็เป็นประเด็นที่ถกกัน ไม่มีทางออก” นายวิสุทธิ์กล่าว
นายวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า แต่ทางออกอย่างหนึ่งของความเห็นที่หลากหลาย ในแง่คนทำงานก็อึดอัดพอสมควร ก็ระดมบรรดาผู้บริหารทุกช่อง สื่อทุกสื่อเพื่อขอคำปรึกษา ก็มี 2 ความเห็น 1.คือหน้าที่ของการรายงานข่าวบนความเป็นจริง ต้องทำต้องไม่หยุด ส่งไปจะถูกตัดตอน หรือไม่ได้ลง ก็ต้องทำ 2.คือไม่ควรตัดสินว่าอะไรถูกหรือผิด แต่ต้องส่งสัญญาณเตือนเหมือนกันว่า ถ้าทำอย่างอย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ก็ต้องส่งสัญญาณเตือนให้สังคม
“สิ่งที่เกิดขึ้นผมว่าต้องตอกย้ำคือ สื่อคือผู้ที่สื่อสาร ไม่ใช่สาร สื่อนอกจากนำเสนอข้อเท็จจริง คือไม่ใช่สื่อสารเรื่องราว แต่ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง” นายวิสุทธิ์ กล่าว
ด้าน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ถ้าดูจริงๆ แล้วประเด็นเรื่องการปฏิรูปสื่อไม่ค่อยมีอยู่ใน agenda ทางการเมืองสักเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าแต่ละฝ่ายมีสื่อของตัวเองแล้ว หรือทำใจแล้ว หรืออย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกลับไปในยุคก่อนหน้าที่มี กสทช. agenda ที่ต้องการปฏิรูปสื่อจะอยู่ทุกๆ ที่ที่ต้องการปฏิรูปการเมือง
“ส่วนตัวคิดว่าการปฏิรูปสื่อยังสำคัญ เพียงแต่ว่าสื่อเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ทำให้กลุ่มการเมืองมีจุดอยู่ 2 แบบคือ วิพากษ์สื่อที่ไม่เห็นด้วยกับตน และก็เชียร์สื่อที่เห็นด้วยกับตน” น.ส.สุภิญญากล่าว
น.ส.สุภิญญา กล่าวอีกว่า ดังนั้น agenda ร่วมกันของทุกฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปสื่อให้เป็นอิสระ หรือว่าอาจจะเป็นกลางหรือเที่ยงธรรมมันหายไป คือมันเป็นรูปของการเรียกร้องให้เลือกข้างจริงๆ แต่ถ้าเราพูดเรื่องปฏิรูปสื่อ agenda ของการปฏิรูปสื่อไม่ใช่เรียกร้องให้สื่อเลือกข้าง แต่ต้องการให้สื่ออิสระอย่างที่ควรจะเป็น
“ก็อยากให้ agenda เรื่องนี้กระจายเข้าไปสู่กลุ่มผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรายังยึดกุมกับวาทกรรมการปฏิรูปสื่อ นั่นหมายถึงว่าเราไม่พยายามจะเรียกร้องให้สื่อต้องเลือกข้างจนเกินไปทุกสื่อ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้” น.ส.สุภิญญา กล่าว
น.ส.สุภิญญา กล่าวอีกว่า สื่อเลือกข้างได้ แต่ไม่จำเป็นต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ หรือทุกสื่อต้องเลือกข้าง เราต้องมีสื่อเอาไว้ที่ทำหน้าที่แบบมืออาชีพและอิสระ แม้ท้ายที่สุดแล้วจะไม่มีสื่อไหนบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะโครงสร้างสื่อมันยึดโยงกับการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อาจจะมีธงที่เราเห็นอยู่ว่าไปทางไหน นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ประเด็นสำคัญเวลาเราเรียกร้องปฏิรูปสื่อจะทำอย่างไรให้ธำรงความเป็นมืออาชีพ และก็เป็นสิ่งที่เรียกว่ามีความเป็นธรรมโดยเฉพาะสิ่งที่เป็นหลักที่ยังขาดไม่ได้ก็คือ ข้อเท็จจริง สื่อไหนที่เรียกตัวเองว่าเป็นสื่อจะต้องนำเสนอข้อเท็จจริง
“ไม่ต้องเรียกร้องความเป็นกลาง 100 เปอร์เซ็นต์ หรือเรียกร้องความเป็นอุดมคติ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เราต้องพูดกันคือสิ่งเหล่านี้ที่คนเป็นสื่อสารมวลชนต้องยืนหยัด เพื่อให้คนในสังคมเข้าใจได้” น.ส.สุภิญญากล่าว
