ทีดีอาร์ไอ แนะเลิกทำนโยบายประชานิยมไร้ความรับผิดชอบ
ทีดีอาร์ไอ แนะวิธีอยู่กับประชานิยมไม่ให้วิกฤติ ชี้ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นสวัสดิการสังคม อย่าเหมารวม เสนอ หากมีเลือกตั้ง 2 ก.พ.นี้ พรรคการเมืองต้องแถลงต้นทุนนโยบายที่ใช้หาเสียง-ที่มารายได้ให้ชัด
วันที่ 7 มกราคม 2557 ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ประชานิยมกับเรื่องการกระจายรายได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันมาก โดยส่วนหนึ่งของนโยบายประชานิยมก็เพื่อช่วยคนจนช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับประเทศที่กำลังเป็นประชาธิปไตย ที่ประชาธิปไตยจะมาพร้อมกับแรงกดดันให้เกิดการกระจายรายได้
"นโยบายที่เราเรียกกันว่าประชานิยม ไม่ว่าจะเป็น จำนำข้าว, รถคันแรก, 30 บาทรักษาทุกโรค, เช็คช่วยชาติ หรือการอุดหนุนราคาพลังงาน ความจริงแล้วไม่ได้เหมือนกันไปทั้งหมด แต่ละนโยบายมีความแตกต่างกัน อาทิ 30 บาทรักษาทุกโรค จะเห็นว่าเป็นนโยบายที่มีความยั่งยืนทางการคลัง รัฐบาลเตรียมเงินไว้ว่าจะต้องใช้ในแต่ละปีต่อหัวคนไข้เท่าไหร่ ไม่ทำลายกลไกตลาด เพราะเป็นการไปสู่ตลาดที่ช่วยคนจนและสร้างความสามารถทำให้คนมีสุขภาพดี แต่นโยบายอย่าง การอุดหนุนราคาพลังงานนั้นไม่ยั่งยืน เพราะการตั้งกองทุนพลังงาน เพื่อมาอุดหนุน แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นกองทุนพลังงานก็จะเจ๊ง" ดร.สมเกียรติ กล่าว และว่า ฉะนั้น นโยบายเช่นนี้จึงอยู่ได้ไม่นานไม่ยั่งยืน ทำลายกลไกตลาดและไม่สร้างความสามารถให้ภาคอุตสาหกรรม ให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัด เพราะราคาพลังงานบางอย่างมันถูกเกินจริง ส่วนนโยบายจำนำข้าว รถคันแรก เช็คช่วยชาติ ก็ล้วนเป็นนโยบายที่ไม่ยั่งยืนเช่นกัน นโยบายที่ถูกเรียกว่าประชานิยมส่วนใหญ่จึงไม่ได้ช่วยคนจนอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม นโยบายดีๆ ก็ยังมีอยู่ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค ดร.สมเกียรติ มองว่า ในทางวิชาการจะเรียกว่าเป็น นโยบายสวัสดิการสังคม มากกว่าจะเรียกว่าเป็นประชานิยม จึงไม่ควรเหมาว่านโยบายประชานิยมทุกอย่างแย่ไปหมด จึงควรแบ่งว่า นโยบายประชานิยมที่ดีก็มี ส่วนนโยบายประชานิยมที่สร้างปัญหา เป็นประชานิยมที่แย่จริงๆ ขอเรียกว่า เป็น นโยบายไร้ความรับผิดชอบ ประชานิยมที่ดีก็ควรคงไว้ อะไรไม่ดีก็ควรทบทวนให้เลิก และอย่าไปดูว่าเป็นนโยบายที่เริ่มจากรัฐบาลไหนแล้วจะต้องดีหรือแย่ทุกนโยบาย เพราะจะเห็นว่าทุกรัฐบาลมีทั้งนโยบายที่ดีและนโยบายที่ไม่ดี
"ประชานิยมไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย ยกตัวอย่างประสบการณ์ของประเทศในอเมริกาใต้ ซึ่งมีความแตกต่างทางรายได้สูงมาก พอเริ่มเป็นประชาธิปไตยก็เกิดปัญหา เกิดเป็นวัฏจักรประชานิยม ที่พอเริ่มใช้แล้วจะมีลักษณะคล้าย 'ยาสเตอรอยด์' เหมือนยาเสพติดที่เลิกได้ยาก คือ เมื่อใช้นโยบายประชานิยมไปนานๆ เกิดการใช้เงินไม่ระมัดระวังก็จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในที่สุดก็ต้องรัดเข็มขัด เมื่อรัดเข็มขัดคนก็เดือดร้อน สุดท้ายผู้นำประชานิยมก็กลับขึ้นมาอีกเมื่อเศรษฐกิจฟื้น มาหาเสียงว่าจะมีนโยบายลดแลกแจกแถมให้ประชาชนมีความสุข แล้วก็กลับไปสู่วัฏจักรประชานิยมอีก"
ดร.สมเกียรติ เสนอแนะทางออกนโยบายประชานิยมระยะกลาง-ระยะยาว โดยระบุว่า
1.ต้องลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ด้วยการให้สวัสดิการสังคมที่ดี และการศึกษาที่มีคุณภาพที่จะทำให้คนไม่ต้องรอพึ่งรัฐบาลอยู่ร่ำไป
2.สร้างวินัยทางการคลัง จำกัดการขาดดุลของรัฐ โดยออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 167
3.ควรมีการตั้งสำนักงบประมาณของรัฐสภา ขึ้นมาสนับสนุนรัฐสภาในการพิจารณางบประมาณและให้ข้อมูลแก่สาธารณะ
สำหรับข้อเสนอแนะเฉพาะหน้าหากมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ ดร.สมเกียรติ เรียกร้องให้ พรรคการเมืองต้องแถลงต้นทุนของนโยบายที่ใช้หาเสียง และแหล่งที่มาของรายได้ด้วยว่า นโยบายที่ใช้หาเสียงกันนั้นใช้เงินเท่าไหร่จะเอารายได้จากที่ไหน ไปทำให้นโยบายนั้นเกิดขึ้นได้จริง อย่าให้เหมือนกับนโยบายจำนำข้าวที่จนบัดนี้ยังไม่รู้ว่าขาดทุนหรือกำไรเท่าไหร่ ทั้งนี้ นักวิชาการควรช่วยกันตรวจสอบต้นทุนของนโยบายพรรคการเมืองใหญ่ที่ใช้หาเสียง