ปึ้งกับปู กู้ อี จู้
"การเชื้อเชิญให้ต่างประเทศเข้ามายุ่งในกิจการภายในประเทศไทยนั้น ถ้าสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ไม่ต่ำเตี้ยทางสติปัญญาจนไม่รู้ว่าขนบธรรมเนียมระเบียบวิธีการความถูกต้องดีงามทางการทูตในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเขาเรียกกันว่า Protocal นั้นคืออะไร"
เมื่อสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมดูแลศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส.อีกตำแหน่งหนึ่ง
บทบาทของสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แทนที่จะเป็นที่เกรงขามของประชาชน กลับกลายเป็นจำอวดหรือตัวตลกรายวันให้ชาวบ้านได้หัวเราะ ครื้นเครง คลายเครียด ได้ตลอดเวลา
เพราะทันทีที่ออกมานั่งแถลงทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจทำท่าขึงขังว่าจะดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้ชุมนุม และผู้ให้การสนับสนุนอย่างเฉียบขาดรวมทั้งจะจัดการกับท่อน้ำเลี้ยงและบรรดาแพทย์-พยาบาล ผู้ให้น้ำเกลือแก่สุเทพ เทือกสุบรรณ ฐานให้ความช่วยเหลือผู้ถูกออกหมายจับ
ถ้อยแถลงนี้ทำให้บรรดาแพทย์-พยาบาลฮากันครืนและพร้อมที่จะให้นายสุรพงษ์สั่งออกหมายจับแพทย์-พยาบาลทุกคน และแสดงความสงสัยว่า สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาถึง 2 ปีแล้ว ไม่เคยรู้เลยหรือว่าในทางสากลมีกฎบัตรสหประชาชาติที่ประเทศสมาชิกต้องถือปฏิบัติพร้อมกับกฎกติกาชาดสากลที่ห้ามไม่ให้ฝ่ายใดก็ตามแตะต้องหรือทำร้าย แพทย์หรือพยาบาลที่มีเครื่องหมายสัญลักษณ์กาชาดออกไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิสงครามอย่างเด็ดขาด
แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไทยที่ควรจะรู้เรื่องกฎบัตรสหประชาชาติและกฎกติกาชาดสากล กลับออกมาประกาศว่าจะดำเนินคดีกับแพทย์-พยาบาลที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยในการชุมนุมต่อต้านการฉ้อฉลของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างสงบและเป็นไปตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบรรดาแพทย์-พยาบาลจากทุกสถาบันทั่วประเทศจึงมีความกระตือรือร้นออกมาร่วมต่อต้านรัฐบาลกับมวลมหาประชาชนอย่างทั่วหน้า
เรื่องตลกคลายเครียดของคนไทยอีกเรื่องหนึ่ง แต่เป็นเรื่องหัวเราะไม่ออกขอทูตานุทูตต่างประเทศที่ประจำในประเทศไทย คือการเชื้อเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยให้เข้าไปสังเกตการณ์สถานการณ์ความไม่สงบในทำเนียบรัฐบาล ในขณะที่ผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนับแสนนับล้านคนประกาศจะไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล
การเชื้อเชิญทูตต่างประเทศให้เข้าไปในทำเนียบรัฐบาลในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในวงการทูตต่างประเทศ ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยคิดได้อย่างไร แม้จะมีต่างประเทศบางประเทศกระสันอยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในประเทศไทยเพียงไร ก็ไม่มีใครอยากจะมา เพราะมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะกล้าฝ่าฝูงชนอันมหาศาลที่ต่อต้านรัฐบาล เพื่อไปสังเกตการณ์สถานการณ์ตามคำเชื้อเชิญของรัฐบาลไทยที่ทำเนียบรัฐบาลในสภาวะที่คับขันเช่นนั้น
การเชื้อเชิญให้ต่างประเทศเข้ามายุ่งในกิจการภายในประเทศไทยนั้น ถ้าสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ไม่ต่ำเตี้ยทางสติปัญญาจนไม่รู้ว่าขนบธรรมเนียมระเบียบวิธีการความถูกต้องดีงามทางการทูตในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเขาเรียกกันว่า Protocal นั้นคืออะไร ก็จะฉุกคิดได้ว่า ตนเองได้เคยเชิญคณะทูตประเทศอาเซียนให้ไปพบที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย แต่บรรดาคณะทูตประเทศอาเซียนคงได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วถึงความเหมาะสมในเรื่องของการ “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” อันเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติอาเซียนในปี 2510 จึงได้ส่งเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างไปพบ
รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ไม่รู้ Protocol แล้วลงมาเล่นเรื่องนี้ด้วยตนเองพร้อมกับผู้ช่วยรัฐมนตรี ด้วยความภาคภูมิใจว่าสามารถเกลี้ยกล่อมให้บรรดาทูตประเทศอาเซียนมาเป็นพวกรัฐบาลได้สำเร็จ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกสลดหดหู่ของบรรดาข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ที่รู้สึกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเกียรติภูมิและความสง่างามในฐานะประเทศที่เคยขึ้นชื่อว่ามีความสามารถในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่แยบคายและแยบยลมาโดยตลอดไปเสียสิ้น
ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อีกประการหนึ่งก็คือ ความพยายามที่จะเชื้อเชิญและเกลี้ยกล่อมนานาประเทศด้วยการกดดันให้ทูตานุทูตประเทศต่างๆ มาสนับสนุนการเลือกตั้งในประเทศไทย และมีความคิดที่จะให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โทรศัพท์ไปเชื้อเชิญประเทศต่างๆ ด้วยตนเอง
เคราะห์ดีที่บรรดากุนซือและลิ่วล้อที่ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี เห็นว่า การสนทนาทางโทรศัพท์แบบไม่มีโพย นายกรัฐมนตรีอาจจะไปหลุดปาก open every door หรือ I come from erection ออกไปทางโทรศัพท์ให้ต้องขายหน้าอีกเลยต้องห้ามไว้
สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เลยตัดสินใจไม่โทรศัพท์ไปพูดภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ที่มีความอ่อนแอยิ่งกว่าภาษาอังกฤษเมียเช่าไปตามสถานทูตใดๆ อีก นอกจากสั่งการให้ข้าราชการไปดำเนินการให้จนได้รับหนังสือสนับสนุนการเลือกตั้งจากบรรดามิตรประเทศ ให้สุรพงษ์มาอ่านประกาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจบอกประชาชนว่า บัดนี้ได้มีต่างประเทศประมาณ 50 ประเทศ ได้แสดงความสนับสนุนการเลือกตั้งในประเทศไทยแล้วซึ่งก็ได้รับเสียงฮาจากผู้ชมโทรทัศน์อีกมากมาย
การออกมาประกาศว่า ต่างประเทศจำนวนกี่ประเทศเข้ามาสนับสนุนกิจการภายในของประเทศของเรานั้น ในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศเช่นนี้เรียกว่า “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” เป็นการดำเนินนโยบายที่เปิดโอกาสให้ต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ เป็นนโยบายที่ขัดทำนองคลองธรรมและบ่อนทำลายบูรพภาพแห่งหน้าที่ความรับผิดชอบของการกระทรวงการประเทศ และก่อให้ความกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์อันดีของประเทศสองฝ่าย
การที่สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อ้างว่ามี 50 ประเทศได้ให้การสนับสนุนการเลือกตั้งในประเทศไทย แต่อีก 150 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติเขาไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมอันฉ้อฉลและไร้เกียรติยศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรืออย่างไร เขาจึงรักษามารยาทมี Protocol ที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศไทยตามการเกลี้ยกล่อมเชิญชวนของสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พอจะเปิดเผยต่อประชาชนได้ไหมว่า บรรดา 50 ประเทศ ที่เข้ายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศไทยด้วยการสนับสนุนการเลือกตั้งในประเทศไทยนั้นจะได้อะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนทางผลประโยชน์จากประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตบ้าง
ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาทั้งยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นเกียรติยศเกียรติศักดิ์แต่ประการใด สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล คิดแต่เพียงว่าการมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศมีหน้าที่เพียงมาสั่งการให้ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือเดินทางให้แก่นักโทษหนีคดีทุจริตคอรัปชั่นผู้เป็นนายใหญ่ให้สำเร็จและหาความชอบธรรมให้กับรัฐบาลที่ฉ้อฉลล้มเหลวของตัวเองด้วยการขอร้องให้ต่างชาติที่ต้องการผลประโยชน์จากประเทศไทยเข้ามาสนับสนุนเท่านั้น เช่นเดียวกันยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีความเชื่อว่า จริตหญิง จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการเมืองได้ จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้จริตความน่ารักน่าเอ็นดูแสดงออกนอกหน้าต่อประธานาธิบดีบารักโอบาม่า จนเป็นที่แตกตื่นกันทั้งวงการต่างประเทศทั่วโลกว่า นี่เป็นนโยบายต่างประเทศแนวใหม่ของไทยหรืออย่างไร เป็นเหตุให้สื่อต่างประเทศนำการออกอาการเซ็กซี่ของนายกรัฐมนตรีหญิงไทยกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไปล้อเลียนและหมิ่นแคลนให้รู้กันไปทั่วโลก จนผู้หญิงไทยในต่างประเทศที่ได้เห็นข่าวรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ไม่นับรวมกันความสามารถในการพูดภาษาไทยและภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ ของนายกรัฐมนตรีหญิงไทย ที่แม้เวลาผ่านไปนานเพียงใดก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เมื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศทำตัว ไม่รู้สึกรู้สาพัฒนาตัวเองให้สมกับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งดำรงอยู่ แถมยังเชื่อมั่นในอำนาจรัฐที่มีอยู่ว่าจะสามารถดลบันดาลอะไรก็ได้ให้กับทุกองคาพยพในประเทศนี้ จึงไม่รู้ผิดรู้ถูก ไม่รู้ว่าอะไรคือเกียรติยศศักดิ์ศรี ไม่เชื่อก็ลองไปคุยกับผู้คนในนานาชาติดูว่าขณะนี้เขาพูดถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ว่าอย่างไร เขาเล่ากันอย่างตลกขบขันว่า เมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกา แล้วเกิดอยากรับประทานเนื้อย่าง จึงขอให้ทางกระทรวงการต่างประเทศช่วยแหกหมายกำหนดการให้นายกรัฐมนตรีแวะกินเนื้อย่าง แต่เอกอัครราชทูต กิตติพงษ์ ณ ระนอง เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรที่จะทำเช่นนั้น เพราะกำหนดการอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าและมีการนัดหมายไว้ แล้วจึงไม่ยอมแหกหมายให้นายกรัฐมนตรีไปกินเนื้อย่าง
จากนั้นไม่นานข้าราชการน้ำดีแห่งกระทรวงการต่างประเทศอย่าง กิตติพงษ์ ณ ระนอง ก็ถูกย้ายจากสหรัฐอเมริกาไปอยู่เกาหลี
ถ้าใครไปถามเรื่องนี้กับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่ไม่เอาตัวรอดและสอพลอนักการเมืองก็จะได้ยินเสียงหัวเราะอย่างขื่นๆ ว่า
อย่าได้ไปสนเรื่องปึ้งกับปู กู้ อี จู้ อีกเลยมันเป็นเรื่องเศร้าของกระทรวงการต่างประเทศไทย
ภาพประกอบ:เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์-ทีนิวส์